บทความ

ต๋อย ไตรภพ l ชำแหละสื่อขายบันเทิง! ประเทศนี้จะร้องเพลงอย่างเดียวหรือ! [HD]

รูปภาพ
ชำแหละสื่อขายบันเทิง! ประเทศนี้จะร้องเพลงอย่างเดียวหรือ! - ...วันๆ ประเทศนี้จะร้องเพลงอย่างเดียวเหรอ เด็กในประเทศนี้ร้องเพลงเก่งนะ เต้นรำเก่ง วันๆ ในทีวีเด็กเก่งเรื่องนี้เรื่องเดียวเลยนะ นี่เป็นที่ชื่นชม ชื่นชอบกันอย่างยิ่ง จะเป็นไปได้กี่ปี ไม่มีอนาคตหรอก มันไม่ใช่วิธีการ -...มกำลังถามว่าเด็ก 100 คนเกิดมาเพื่อร้องเพลง เกิดมาเป็นนักแสดง เป็นศิลปินกันกี่คน ทำไมเราชื่นชอบ-ชมแต่เรืองแบบนี้ ทำไมทีวีเรามีแต่เรื่องแบบนี้ และที่บอกทีวีนั่นนี่เกิดมันจะหวือหวาไปได้กี่วัน คุณคิดว่า ความหวือหวา จะทำแบบนั้นได้สักกี่ปี 10 ปี 15 ปี ทีวีที่หวือหวาตลอดเวลาไหนที่เรียกว่าคุณค่า... แม้จะเป็นคำสัมภาษณ์สักระยะใหญ่ แต่เมื่อลองย้อนกลับมาดูมันยังทันสมัย ผมคิดว่ายังเป็นประโยชน์ เป็นบทสัมภาษณ์เอ็กคลูซีฟในห้องแต่งตัว ดิบๆ ง่ายๆ เหมือนชีวิตเขา ผมกับชายวัย 62 ปี 'ไตรภพ ลิมปพัทธ์' ถึงเรื่องทีวี ที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ไหน แบบอันเซนเซอร์ เป็นวิธีคิดของคนทำงานมาเกือบ 40 ปี ผมให้ฟันธงว่า โลกอนาคตหลังจากพรุ่งนี้ อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ เขาฟันธงว่า influence เป็นคนที่มีความหมายและความสำคัญมากในโลกยุคใหม่ โ...

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เทศนา พรหมวิหาร 4 เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ...

รูปภาพ
ดวงปฐมมรรค เป็นธรรมอันหนัก ที่สุด เพราะว่า เป็นธรรมที่เปลี่ยนระหว่าง ปถุชชน เป็น อริยะชน การเปลี่ยนเป็น อริยะชน อย่างทันทีนั้น ก็เหมือนกับ การเปิดดวงตาให้เห็น ในความมืด #อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น #จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติพอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะไม่ได้เจตนาระลึกมันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิตเพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิตปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไรจะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเองถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้วก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย...

ธรรมคีตะ ศิลปะแห่งการดับทุกข์จะสุขใจไปบ้างก็บางคราว จะโศกเศร้าไปบ้างก็บางหน จะเกลียดชังไปบ้างก็บางคน จะสับสนไปบ้างก็บางที นี้ละคนวนไปมาหาดีชั่ว วนไปทั่วสับสนจนป่นปี้ ประเดี๋ยวรักประเดี๋ยวชังอยู่ทั้งปี เป็นอย่างนี้ทุกคนไปจนตาย

รูปภาพ

ทางพ้นทุกข์#ถ้าเราสามารถเรียนรู้ลงเข้ามาที่กายรู้ลงเข้ามาที่ใจนี่วิธีการของพระพุทธเจ้าเรียนรู้ลงเข้ามาที่กายที่ใจตัวเองจนเห็นความจริงเลย #กายนี้ไม่ใช่ตัวเรากายนี้เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุความดิ้นรนหวงแหนในร่ายกายก็จะสลายไป #เรียนรู้ลงไปที่จิตใจจะเห็นเลยจิตใจเป็นของไม่เที่ยงเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสุขชั่วคราวทุกข์ชั่วคราวดีชั่วคราวชั่วก็ชั่วคราว #ทุกอย่าที่ผ่านเข้ามาที่จิตที่ใจเราล้วนแต่เป็นของชั่วคราวทั้งนั้นกระทั่งตัวจิตตัวใจเองก็ของชั่วคราวจิตเกิดทางตาเดี๋ยวก็ดับไป เกิดทางหูเดี๋ยวก็ดับไปเกิดทางใจแล้วก็ดับไปมีแต่ของชั่วคราวทั้งหมดพอเห็นอย่างนี้เห็นความจริงแล้วจิตนี้ไม่ใช่ตัวเราที่เที่ยงแท้ถาวรอะไรความดิ้นรนที่จะให้จิตมีความสุขความดิ้นรนที่จะให้จิตพ้นทุกข์มันก็จะสลายไปความพ้นทุกข์ที่แท้จริงเกิดจิตใจที่ฉลาดรู้ความจริงของกายของใจจนหมดความดิ้นรน นิพพาน (บาลี: निब्बान nibbāna นิพฺพาน; สันสกฤต: निर्वाण nirvāṇa นิรฺวาณ) หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์[1] เป็นสภาพโลกุตระอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในศาสนาพุทธ[2] คำว่า นิพพาน เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย โดยใช้ในความหมายของการหลุดพ้น แต่การอธิบายเกี่ยวกับสภาวะของนิพพานนั้นแตกต่างกันออกไป ในปรัชญาอุปนิษัทเชื่อว่านิพพานหรือโมกษะ คือการที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมันเข้ารวมเป็นเอกภาพกับพรหมัน แต่ในพระพุทธศาสนาอธิบายว่า นิพพานคือการหลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา ซึ่งแสดงออกในรูปของโลภะ โทสะ และโมหะ มิได้หมายความว่าเป็นการหลุดพ้นของอัตตาหรือตัวตนในโลกนี้ ไปสู่สภาวะของนิพพานอย่างคำสอนอุปนิษัท แต่หมายถึงความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องผูกพันร้อยรัดทั้งปวง ซึ่งเรียกว่าเป็นความทุกข์

รูปภาพ

คุยกับ ลามะเนปาล หลังนั่งสมาธิอดข้าวนาน6ปี เผยตั้งใจเป็นพระพระพุทธเจ้า

รูปภาพ
ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน? ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ เสร็จแล้วมันจะทวนกระแส...

เกสริยา - สถานที่ประดิษฐานบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - Kesariya stupa

รูปภาพ
ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน? ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ เสร็จแล้วมันจะทวนกระแส...

เกสริยา - สถานที่ประดิษฐานบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - Kesariya stupa

รูปภาพ
ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน? ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ เสร็จแล้วมันจะทวนกระแส...