พระพุทธเจ้าคือใคร

พวกเราบางคน

ทำบุญทำทาน แล้วขอไปเกิดยุคพระศรีอาริย์
โง่มากเลย อันนั้นก็คือขอทุกข์ไปอีก จนถึงยุคพระศรีอาริย์
แล้วนิสัยเหลวไหลอย่างนี้ยังมีอยู่
ไปถึงยุคพระศรีอาริย์ก็ขอต่อไปอีก
ขอไปตรัสรู้สมัยพระติสสะแล้วกัน
หรือขอไปตรัสรู้สมัยพระราม ก็แล้วแต่จะขอ
แต่ปัจจุบันไม่เอา
เสียโอกาส ต้องจมในความทุกข์ไปอีกนาน

ถ้าเรารู้อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าจะกี่พระองค์ก็ตาม
ท่านตรัสรู้อริยสัจอันเดียวกัน
แล้วพระพุทธเจ้าของเรานี้ ท่านเป็นปัญญาธิกะ
ท่านมาด้วยปัญญา เดินสายปัญญานี่ รวดเร็ว
เดินด้วยปัญญา รวดเร็วมากเลย
เดินด้วยวิริยะ เดินด้วยศรัทธา ลำบาก นาน ใช้เวลามาก

พระพุทธเจ้านั้น ถึงจะรู้อริยสัจเหมือนกัน
แต่ความสามารถในการถ่ายทอดของแต่ละพระองค์ ไม่เหมือนกัน
บางองค์ ท่านไม่ขวนขวายที่จะสอน
หลายพระพุทธเจ้าเลย
ส่วนมากท่านไม่ค่อยขวนขวายมาก
ขวนขวายน้อย สอนได้นิดหนึ่งแล้ว
พอใจแล้ว เลิกแล้ว

พระพุทธเจ้าเรานี้ขวนขวาย ผลิตธรรมะออกมามาก
ฉะนั้นเราเรียนธรรมะจากพระพุทธเจ้าองค์นี้
เรามีธรรมะมากมายให้เรียน
แล้วมีการสืบทอดได้
หลายๆ พระพุทธเจ้าไม่มีการสืบทอด
พอสาวกรุ่นที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดไป
ก็คือหมดไปแล้ว สาวกสอนต่อไม่ได้
หลายพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นน
สมัยพระวิปัสสีฯ พระสิขีฯ พระเวสสภูฯ เป็นแบบนั้น
มาสมัยพระโคตมพุทธะ สาวกสามารถสืบทอดได้
ถือว่าเป็นศาสนาที่แข็งแรง

เราอยู่ในยุคที่วิเศษที่สุดแล้ว
ถ้ายุคนี้เอาไม่ได้ ยุคต่อไปลำบากแล้ว
พระเมตไตรยท่านมาด้วยวิริยะ
เราจะเดินตามท่านไหวหรือเปล่า
ทดลองดูวันนี้
คืนนี้ทั้งคืนไปเดินจงกรม ห้ามนั่ง
สู้ไหม สู้ แต่สู้สองสามนาที เดี๋ยวก็ยอมแล้ว
บอกว่า "ขืนตะบี้ตะบันเดินไปเรื่อยๆ มันจะเป็นอัตตกิลมถานุโยค
สมควรเปลี่ยนเป็นอริยาบถนั่ง จะนั่งโต้รุ่ง"
พอนั่งไปสักพัก "นั่งโต้รุ่งนี่ก็ยึดถือเกินไป จุดสำคัญอยู่ที่ใจ นอนดีกว่า"
ไม่ได้กินหรอก อ่อนแอเกินไป

สู้เอานะ สู้ยุคนี้ง่ายแล้วล่ะ
เพราะพระพุทธเจ้าเราปัญญามาก
สอนธรรมะแจกแจงได้ประณีต
เดินตามรอยท่านไป
มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา


-- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา
วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๑ ไฟล์ 610908B ซีดีแผ่นที่ ๗๘

ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง
เว็บไซต์ทางการ:
https://dhamma.com
https://fb.com/dhammateachings
https://instagram.com/dhammadotcom
Line : @dhammadotcom

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทางไปสู่พระนิพพาน 18 ธ ค 57 ค่ำ โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย ณ สวนแสงธรรม

การเกิดมรรคผล

มรรคผลนิพพานไม่ไกลนะ มันไกลสำหรับคนซึ่งไม่รู้จักวิธี#จิตก็ทรงสติปัญญามากขึ้นๆนะ #ตอนที่อริยมรรคจะเกิดเนี่ยไม่ได้ไปรู้รูปนามหรอก #จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิตัดการรับรู้ที่แผ่กว้างออกทางตาหูจมูกลิ้นกาย ตัดการรับรู้อันนั้นออกแล้วรวมลงมาที่ใจอันเดียวเห็นไหมสมาธิสำคัญนะ ที่เราฝึกให้มีตัวรู้ๆ เวลาเกิดอริยมรรคมันมาเกิดที่ตัวรู้นี่แหละไม่ไปเกิดที่อื่นหรอก ถ้าเราไม่มีตัวรู้ มีแต่ตัวร่อนเร่ ไปเกิดที่โน่นที่นี่ นั่นเรียกเวียนว่ายตายเกิด ไปเกิดที่อื่น งั้นเราฝึกให้มีตัวรู้ขึ้นมา ท่านจึงสอนในอภิธรรมสอน สัมมาสมาธิเป็นภาชนะที่รองรับองค์มรรคทั้ง ๗ ที่เหลือเข้าด้วยกัน เป็นที่ประชุมขององค์มรรค งั้นจิตประชุมที่ไหน? ประชุมที่จิต ประชุมด้วยอำนาจของสัมมาสมาธิ จิตที่มันตั้งมั่น แล้วสติเกิดที่ไหน? ที่จิต สัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาทั้งหลายแหล่เกิดลงที่จิตอันเดียวเลย ประชุมลงที่จิตอันเดียวเลย สัมมาวาจาไม่ได้ไปอยู่ที่ปากแล้ว แต่อยู่ที่จิต สังเกตไหมก่อนปากพูดจิตพูดก่อน สัมมาวาจาตอนที่อริยมรรคเกิดมันพูดอะไรรู้ไหม? มันพูดอย่างนี้ “ ” ได้ยินไหม เนี่ยสัมมาวาจา ถ้ายังอ้าแง๊บๆๆๆเนี่ยมิจฉาวาจานะ งั้นประชุมลงที่จิตเลย องค์มรรค ๘ ประการรวมลงที่จิตอันเดียวด้วยอำนาจของสัมมาสมาธินั่นเองนะ ตรงนี้อัตโนมัติทั้งหมดเลย สติระลึกรู้อยู่แค่จิตโดยไม่เจตนาระลึก สมาธิตั้งมั่นอยู่กับจิตโดยไม่เจตนาตั้งมั่น ปัญญานี่หยั่งซึ้งลงไปในจิต เห็นการทำงานภายในจิตอีกโดยไม่เจตนา สติ สมาธิ ปัญญา รวมลงที่เดียวนี้เอง อริยมรรคก็เกิด ถ้ายังกระจายๆอยู่ไม่เกิดอริยมรรค อริยมรรคมีองค์ ๘ ถามว่าอริยมรรคมีเท่าไหร่ มี ๑ เท่านั้นนะ เวลาเกิดอริยมรรคมี ๑ เท่านั้น แต่มีองค์ประกอบ ๘ อย่าง มรรคไม่ได้มี ๘ มรรคนะ แต่ว่าการเกิดอริยมรรคจะเกิด ๔ ครั้ง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามีมรรค อรหัตมรรค มรรคแต่ละครั้งเกิด ๑ ขณะจิตเท่านั้น ไม่เกิด ๒ ขณะจิต