พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

"#ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด#ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่" 
#ท่านยืนยันว่าลูกศิษย์ของท่านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันสี่ร้อยคนเศษนี้ท่านพบหมดแล้ว (ในภพภูมิต่าง ๆ) ตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. ๒๕๓๓ และส่วนใหญ่จะถึงนิพพานในชาตินี้ แต่ทุกคนจะถึงนิพพานหมดในชาติหน้า 

"ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข 
พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด 
ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้ ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม 
และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการ แก่ลูกหลานของฉันทุกคน 
เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน 
ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว 
ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว "

วิธีการเก็บศิษย์ของท่านเท่าที่ทราบมีอยู่ ๗ วิธีคือ
๑. การออกหมายเกณฑ์ คือการตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าผู้ใดเป็นเชื้อสายของท่านเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดของท่าน หรือได้ฟังเทป หรือฟังวิทยุที่ท่านเทศน์ 
หรือได้อ่านได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่าน แล้วขอให้เกิดศรัทธา
ปสาทะจนต้องมาหาท่าน
๒. ฝากพระ พรหม หรือเทพยดา ให้ไปเข้าฝันตามตัวให้หรือให้ไปบอกในสมาธิ
๓. ท่านไปเข้าฝันเอง ทำให้ต้องตามมาหาท่าน (มีเรื่องเล่ากันหลายเรื่องแล้ว) หรือไปสงเคราะห์ด้วยอภิญญา
๔. ตามเพื่อน ญาติ พี่น้อง หรือคนรักมาวัดหรือซอยสายลม หรือที่อื่น ๆ เพื่อมากราบท่าน แล้วก็มาติดใจหลวงพ่อ
๕. แสวงหาพระดีไปทั่วประเทศ พอมาเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงเข้าก็เลิกแสวงหา
๖. พอเห็นท่านครั้งแรกโดยบังเอิญก็ติดใจ ทำบุญด้วยทันทีโดยไม่รู้ว่าท่าน
เป็นใคร
๗. ท่านตามไปเก็บเอง

เมื่อเป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ทุกคนจะซาบซึ้งในมหากรุณาอันมหาศาลของท่านเอง โดยมิต้องบรรยายในที่นี้ เพราะท่านทำทุก ๆ อย่างเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานของท่านในทุกโอกาสท่านปรารภว่า
พ่อมีความรื่นเริง มีกำลังกายกำลังใจทำได้ทุกอย่างก็เพราะลูกทุกคนของพ่อเป็นคนดี อยู่ในโอวาทขององค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ฉะนั้นลูกทุกคนจึงเป็นที่รักของพ่อ ใครเขาจะเกลียด ใครเขาจะชังลูกเป็นเรื่องของเขา แต่ว่าพ่อรักลูกทุกคนเสมอกัน 
ต้องการอย่างเดียวคือ จะนำทางให้ลูกพ้นทุกข์ เข้าไปหาแดนความสุขที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่มีความหนักใจแม้แต่นิดเดียว นั่นคือ พระนิพพาน 
ความสุขรื่นเริงใจจริง ๆ ของพ่อก็คือ
๑. ถ้าเห็นลูกรักทั้งหมดของพ่อมีจิตเมตตาปรานี ปรารถนา สงเคราะห์คน และสัตว์ให้มีความสุข
๒. เห็นลูกบริบูรณ์ได้วยศีลาจารวัตร
๓. ลูกของพ่อรู้จักตัดนิวรณ์ ๕ ประการ
๔. ลูกมีกำลังจิตเข้าประหัตประหารกิเลส สร้างสังขารุเปกขาญาณให้เกิด
เพราะความดีของลูกของพ่อทุกคน ทั้งลูกหญิงลูกชายตลอดจนกระทั่งลูกที่เป็นพระและเณรเป็นคนดีทั้งหมด ภาระทุกอย่างที่พ่อหนักอยู่ เป็นอันว่าทุกคนก็ช่วยกันแบก และแบกจนกระทั่งพ่อคาดไม่ถึง เป็นอันว่า ความดีของลูกมันเกินกว่าที่พ่อจะพรรณนาถึงความดี คำว่า เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ถึงแม้พ่อจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าพ่อเห็นว่าชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก ลูกของพ่อทุกคนมีความดีเกินไปกว่าที่พ่อจะห่วงใยในชีวิตของพ่อ ทั้งนี้เพราะว่าลูกของพ่อดีกว่าที่พ่อคิดไว้ว่าลูกจะพึงดี ลูกทุกคนรักพ่อ ลูกทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อพ่อ ลูกทุกคนพยายามสละผลประโยชน์ทุกอย่างเพื่อพ่อ พ่อเห็นใจลูกที่ทิ้งการงานทุกอย่าง ยอมเสียสละทุกอย่างมาทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์ และมีน้ำใจเสมอด้วยน้ำใจของพ่อ ความดีของลูกอย่างนี้เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้น ขอบรรดาลูกทุกคนจงรักษาความดีของลูกไว้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม ชีวิตและร่างกายของพ่อไม่มีความสำคัญ ถ้าห่วงมันมากเท่าไร มันมีเวลาแน่นอน พ่อไม่อยากจะจากลูกไป พ่อรักลูกทุกคนมาก พ่อสงสารลูกทุกคน เห็นน้ำใจของลูก แต่ลูกรัก ขันธ์ ๕ พ่อห้ามไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก
ชีวิตของพ่อ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน สังขารมันแย่อยู่แล้ว มันคอยจะตายอยู่แล้ว พ่อไม่มั่นใจว่าชีวิตของพ่อจะอยู่นานสักเท่าใด

ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเท่านั้น ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือรักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะงานสาธารณประโยชน์ เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ ขอลูกรักของพ่อทุกคนจงทรงธรรมนั้นไว้ จนกว่าจะเข้านิพพานในชาตินี้ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี้ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ!!

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทางไปสู่พระนิพพาน 18 ธ ค 57 ค่ำ โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย ณ สวนแสงธรรม

การเกิดมรรคผล

มรรคผลนิพพานไม่ไกลนะ มันไกลสำหรับคนซึ่งไม่รู้จักวิธี#จิตก็ทรงสติปัญญามากขึ้นๆนะ #ตอนที่อริยมรรคจะเกิดเนี่ยไม่ได้ไปรู้รูปนามหรอก #จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิตัดการรับรู้ที่แผ่กว้างออกทางตาหูจมูกลิ้นกาย ตัดการรับรู้อันนั้นออกแล้วรวมลงมาที่ใจอันเดียวเห็นไหมสมาธิสำคัญนะ ที่เราฝึกให้มีตัวรู้ๆ เวลาเกิดอริยมรรคมันมาเกิดที่ตัวรู้นี่แหละไม่ไปเกิดที่อื่นหรอก ถ้าเราไม่มีตัวรู้ มีแต่ตัวร่อนเร่ ไปเกิดที่โน่นที่นี่ นั่นเรียกเวียนว่ายตายเกิด ไปเกิดที่อื่น งั้นเราฝึกให้มีตัวรู้ขึ้นมา ท่านจึงสอนในอภิธรรมสอน สัมมาสมาธิเป็นภาชนะที่รองรับองค์มรรคทั้ง ๗ ที่เหลือเข้าด้วยกัน เป็นที่ประชุมขององค์มรรค งั้นจิตประชุมที่ไหน? ประชุมที่จิต ประชุมด้วยอำนาจของสัมมาสมาธิ จิตที่มันตั้งมั่น แล้วสติเกิดที่ไหน? ที่จิต สัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาทั้งหลายแหล่เกิดลงที่จิตอันเดียวเลย ประชุมลงที่จิตอันเดียวเลย สัมมาวาจาไม่ได้ไปอยู่ที่ปากแล้ว แต่อยู่ที่จิต สังเกตไหมก่อนปากพูดจิตพูดก่อน สัมมาวาจาตอนที่อริยมรรคเกิดมันพูดอะไรรู้ไหม? มันพูดอย่างนี้ “ ” ได้ยินไหม เนี่ยสัมมาวาจา ถ้ายังอ้าแง๊บๆๆๆเนี่ยมิจฉาวาจานะ งั้นประชุมลงที่จิตเลย องค์มรรค ๘ ประการรวมลงที่จิตอันเดียวด้วยอำนาจของสัมมาสมาธินั่นเองนะ ตรงนี้อัตโนมัติทั้งหมดเลย สติระลึกรู้อยู่แค่จิตโดยไม่เจตนาระลึก สมาธิตั้งมั่นอยู่กับจิตโดยไม่เจตนาตั้งมั่น ปัญญานี่หยั่งซึ้งลงไปในจิต เห็นการทำงานภายในจิตอีกโดยไม่เจตนา สติ สมาธิ ปัญญา รวมลงที่เดียวนี้เอง อริยมรรคก็เกิด ถ้ายังกระจายๆอยู่ไม่เกิดอริยมรรค อริยมรรคมีองค์ ๘ ถามว่าอริยมรรคมีเท่าไหร่ มี ๑ เท่านั้นนะ เวลาเกิดอริยมรรคมี ๑ เท่านั้น แต่มีองค์ประกอบ ๘ อย่าง มรรคไม่ได้มี ๘ มรรคนะ แต่ว่าการเกิดอริยมรรคจะเกิด ๔ ครั้ง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามีมรรค อรหัตมรรค มรรคแต่ละครั้งเกิด ๑ ขณะจิตเท่านั้น ไม่เกิด ๒ ขณะจิต