เมื่อใดที่ท่านมีความทุกข์ ขอให้ท่าน จงเปล่งคำว่าพุทธังสะระณัง คัจฉามิ
เมื่อเดินปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้ว จิตจะรวมเข้าอัปปนาเอง ในนาทีที่จะตัดสินความรู้บรรลุ อริยมรรค อริยผล ... เจริญปัญญาให้มาก มีแค่ขณิกสมาธินะ ทุกวันพยายามไหว้พระสวดมนต์ไว้ ทำในรูปแบบ จิตหนีไปคิดแล้วรู้ทัน ฝึกให้มันมีขณิกสมาธิ แล้วมาเดินปัญญา รู้กาย รู้ใจ ในชีวิตประจำวัน ...สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว แล้วสิ่งนั้นดับไป อย่างนี้ก็ใช้ได้ ถ้าถึงขนาดเห็นองค์ฌานเกิดดับอย่างนี้มีน้อยเต็มที
/|\ /|\ /|\#ถ้าจิตเราเป็นกลางเราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิเราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมาจิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมาขั้นแรกมันจะรวมลงก่อนรวมเข้าอัปปนาสมาธิรวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวมไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวมรวมโดยอัตโนมัติเมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับเกิดดับสองขณะบ้างสามขณะบ้างถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คืออาสวกิเลสทั้งหลายสังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไปด้วยกำลังของอริยมรรค
นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมา ให้เรารู้สึกได้สองขณะบ้างสามขณะบ้างคนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง
/|\ /|\ /|\#ถ้าจิตเราเป็นกลางเราไม่ได้มุ่งพุทธภูมิเราไม่ได้ทำกรรมชั่วหยาบมาจิตเราจะก้าวกระโดดเกิดอริยมรรคขึ้นมาขั้นแรกมันจะรวมลงก่อนรวมเข้าอัปปนาสมาธิรวมเองโดยที่ไม่ได้เจตนาจะรวมไม่ได้คิดได้ฝันที่จะรวมรวมโดยอัตโนมัติเมื่อรวมลงมาแล้วจะเห็นสภาวธรรมเกิดดับเกิดดับสองขณะบ้างสามขณะบ้างถัดจากนั้นจิตจะวางการรับรู้อารมณ์ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ เมื่อทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังจิตอยู่คืออาสวกิเลสทั้งหลายสังโยชน์ทั้งหลายถูกขาดสะบั้นออกไปด้วยกำลังของอริยมรรค
นิพพานก็จะปรากฏเด่นดวงขึ้นมา ให้เรารู้สึกได้สองขณะบ้างสามขณะบ้างคนไหนซึ่งอินทรีย์ไม่แก่กล้ามาก ตอนที่จิตรวมไปทีแรก เห็นสภาวธรรมก็จะเห็นสามครั้ง แล้วพอเห็นนิพพานพอได้ผลจะเห็นสองขณะ แต่คนที่อินทรีย์แก่กล้าเห็นสภาวะทีแรกจะเห็นสองขณะ และจะมาเห็นนิพพานสามขณะ เห็นยาวต่างกัน อินทรีย์ไม่เท่ากัน ผลที่เกิดขึ้นก็ไม่เท่ากัน ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกจาก อัปปนาสมาธิ นะ ถอยเอง ถัดจากนั้นไม่ทรงอยู่แล้วจะถอยออกมา พอถอยออกมาแล้วจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ก็แจ่มแจ้งแล้วว่า เมื่อกี้นี้ตัวตนอะไรไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกเลย แต่ว่ากิเลสยังเหลืออยู่อีกเพียบเลย พระโสดาบันกับปุถุชนแทบจะไม่มีอะไรต่างกันนะ พระโสดาบันละมิจฉาทิฏฐิได้เท่านั้น ละความเห็นผิดได้ ส่วนโลภ โกรธ หลงอื่นๆ เหมือนปุถุชนนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น