videoplaybackถ้าบุญบารมีพอนะ เราเจริญปัญญามามากพอแล้วเนี่ย จิตจะไปเดินปัญญาในขั้นสุดท้ายในฌาน ขั้นสุดท้ายจะไปเดินปัญญาในฌานนะ สองสามขณะเท่านั้นเองไหลวั๊บดับ วั๊บดับ เราไม่รู้ว่าอะไรเกิด ไม่รู้ว่าอะไรดับ รู้แค่ว่า สิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น สิ่งบางสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา เราจะไม่รู้หรอกว่า นี่คือความโลภเกิด นี่ความหลงเกิด นี่ความโกรธเกิด นี่ความสุขเกิด นี่ความทุกข์เกิด มันจะไม่แปลออกมาอย่างนั้นเลย มันจะรู้สึกแค่ว่า มีอะไรบางอย่างไหวๆ ขึ้นในจิตแล้วก็ดับ ไหวๆขึ้นในจิตแล้วก็ดับ จะเห็นสองสามขณะ ถ้าปัญญาของเราแก่กล้า เราจะเห็นสองครั้งเท่านั้น ถ้าปัญญายังไม่แก่กล้าจะเห็นสามครั้ง ถึงจะเกิดความเข้าใจ ถ้าปัญญาเราแก่กล้าแล้วเนี่ย เห็นสองครั้ง เกิดความเข้าใจแล้ว พอเกิดความเข้าใจแล้วจิตจะวางสังขาร อันนี้เป็นสังขารละเอียด เป็นความปรุงของจิตในขั้นละเอียด แค่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดานะ เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือ something เท่านั้น สิ่งบางสิ่ง ไม่รู้ว่าคือสุข หรือทุกข์ ดี หรือชั่ว ไม่รู้ว่าอะไร เห็นแค่สภาวะที่เกิดแล้วก็ดับ ๆ ตรงนี้แหละ เวลาบรรจุพระโสดาบัน ท่านถึงบอกว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา" ทำไมใช้คำว่า "สิงใดสิ่งหนึ่ง" ใช้คำว่า something เพราะอะไร ? เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคืออะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นก็ดับ เนี่ย เห็นสองครั้งนะ สำหรับพวกที่ปัญญาแก่กล้า เรียกว่าปัญญิณทรีย์ (คือ)มีอินทรีย์คือปัญญาแก่กล้า จะเห็นสองครั้ง จิตก็เข้าใจความจริงแล้ว ว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ ถ้าปัญญิณทรีย์ไม่แก่กล้า (คือ)ปัญญาไม่กล้าแข็ง ต้องเห็นสามทีนะ ถึงจะเข้าใจ เข้าใจแล้วก็จะวางสังขาร พอวางสังขารนั้น ก็คือการทิ้งโลก ทิ้งจากโลกแล้ว ทิ้งจากโลกียะ จิตมันจะทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ ตรงที่มันทิ้งโลก แล้วมันทวนเข้าหาธาตุรู้เนี่ย มันยังไม่ใช่มันพ้นจากความเป็นปุถุชน แต่มันยังไม่เป็นพระอริยะ เป็นรอยต่อ เป็นรอยต่อเนี่ย เกิดชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง แว็บเดียวเอง จิตก็กลับเข้ามาถึงตัวธาตุรู้แล้ว เมื่อจิตเข้าถึงธาตุรู้แล้วเนี่ย อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง ต้องจำไว้อย่างนึงนะ ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดขึ้นได้นะ อริยมรรค อริยผล เกิดขึ้นเองเมื่อจิตเรามี ศีล สมาธิ ปัญญา แก่รอบแล้ว สมาธิ ปัญญา แก่รอบนะ ปัญญาแก่รอบ ก็คือ รู้ความจริงว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ นั่นแหละ เรียกว่าปัญญาเราแก่รอบแล้ว งั้นปัญญาจะแก่รอบได้ เราต้องพาจิตให้เรียนรู้ความจริงบ่อยๆนะ คอยดูไป สิ่งที่เกิดขึ้นมาเนี่ย#สุขเกิดแล้วดับทุกข์เกิดแล้วดับ #เรียนไปมากๆจนปัญญามันแก่รอบมันรู้เลยว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ #มันก็วางสังขารทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะเกิดเอง พระพุทธเจ้าบอกเลย ไม่มีใครทำมรรคผลให้เกิดได้ มรรคผลเกิดเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทางไปสู่พระนิพพาน 18 ธ ค 57 ค่ำ โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย ณ สวนแสงธรรม

การเกิดมรรคผล

มรรคผลนิพพานไม่ไกลนะ มันไกลสำหรับคนซึ่งไม่รู้จักวิธี#จิตก็ทรงสติปัญญามากขึ้นๆนะ #ตอนที่อริยมรรคจะเกิดเนี่ยไม่ได้ไปรู้รูปนามหรอก #จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิตัดการรับรู้ที่แผ่กว้างออกทางตาหูจมูกลิ้นกาย ตัดการรับรู้อันนั้นออกแล้วรวมลงมาที่ใจอันเดียวเห็นไหมสมาธิสำคัญนะ ที่เราฝึกให้มีตัวรู้ๆ เวลาเกิดอริยมรรคมันมาเกิดที่ตัวรู้นี่แหละไม่ไปเกิดที่อื่นหรอก ถ้าเราไม่มีตัวรู้ มีแต่ตัวร่อนเร่ ไปเกิดที่โน่นที่นี่ นั่นเรียกเวียนว่ายตายเกิด ไปเกิดที่อื่น งั้นเราฝึกให้มีตัวรู้ขึ้นมา ท่านจึงสอนในอภิธรรมสอน สัมมาสมาธิเป็นภาชนะที่รองรับองค์มรรคทั้ง ๗ ที่เหลือเข้าด้วยกัน เป็นที่ประชุมขององค์มรรค งั้นจิตประชุมที่ไหน? ประชุมที่จิต ประชุมด้วยอำนาจของสัมมาสมาธิ จิตที่มันตั้งมั่น แล้วสติเกิดที่ไหน? ที่จิต สัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาทั้งหลายแหล่เกิดลงที่จิตอันเดียวเลย ประชุมลงที่จิตอันเดียวเลย สัมมาวาจาไม่ได้ไปอยู่ที่ปากแล้ว แต่อยู่ที่จิต สังเกตไหมก่อนปากพูดจิตพูดก่อน สัมมาวาจาตอนที่อริยมรรคเกิดมันพูดอะไรรู้ไหม? มันพูดอย่างนี้ “ ” ได้ยินไหม เนี่ยสัมมาวาจา ถ้ายังอ้าแง๊บๆๆๆเนี่ยมิจฉาวาจานะ งั้นประชุมลงที่จิตเลย องค์มรรค ๘ ประการรวมลงที่จิตอันเดียวด้วยอำนาจของสัมมาสมาธินั่นเองนะ ตรงนี้อัตโนมัติทั้งหมดเลย สติระลึกรู้อยู่แค่จิตโดยไม่เจตนาระลึก สมาธิตั้งมั่นอยู่กับจิตโดยไม่เจตนาตั้งมั่น ปัญญานี่หยั่งซึ้งลงไปในจิต เห็นการทำงานภายในจิตอีกโดยไม่เจตนา สติ สมาธิ ปัญญา รวมลงที่เดียวนี้เอง อริยมรรคก็เกิด ถ้ายังกระจายๆอยู่ไม่เกิดอริยมรรค อริยมรรคมีองค์ ๘ ถามว่าอริยมรรคมีเท่าไหร่ มี ๑ เท่านั้นนะ เวลาเกิดอริยมรรคมี ๑ เท่านั้น แต่มีองค์ประกอบ ๘ อย่าง มรรคไม่ได้มี ๘ มรรคนะ แต่ว่าการเกิดอริยมรรคจะเกิด ๔ ครั้ง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามีมรรค อรหัตมรรค มรรคแต่ละครั้งเกิด ๑ ขณะจิตเท่านั้น ไม่เกิด ๒ ขณะจิต