ต้องการแค่นี้เอง#ศาสนาพุทธตอบโจทย์อยู่ข้อเดียวไม่ตอบว่าใครสร้างโลก#ไม่ตอบว่ามนุษย์มีกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษจริงหรือไม่จริงไม่ตอบเรื่องอื่นๆเลย #ศาสนาพุทธตอบอยู่เรื่องเดียวว่าทำยังไงจะไม่ทุกข์ต้องการแค่นี้เอง มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์มันดีไหมถึงเปลือกนอกจะนับถือศาสนาอื่น แต่ถ้ารู้ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่ทุกข์หรอกคำสอนของพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธเป็นคำตอบโดยตรงเลยว่าเรามีวิธีปฏิบัติยังไงเราจึงจะไม่ทุกข์เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่ต้องเชื่อ ... #พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้าไม่สามารถบันดาลอะไรให้เราได้สักอย่างเดียว แต่ท่านสอนวิธีที่ทำให้เราหายโง่คนมีความทุกข์เพราะโง่ไม่เพราะอย่างอื่นเลยวิธีที่จะไม่โง่ก็คือเห็นโลกอย่างที่โลกเป็น#โลกคือรูปนามกายใจ เห็นกายอย่างที่กายเป็นเห็นใจอย่างที่ใจเป็นแล้วหายโง่#ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ถ้าถึงวันหนึ่งจะชอบหรือไม่ชอบจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามความทุกข์ขยี้ร่างกายนี้จนแตกสลายลงไปนี่คือความจริงในร่างกาย #ถ้าเรามีสติปัญญาเรียนรู้ความจริงของร่างกายให้รู้สึกเรื่อยๆดูของจริงเรื่อยๆไม่ไปคิดไปปรุงไปแต่งอะไรเราก็จะเห็นเลยร่างกายนี้เต็มไปด้วยก้อนทุกข์แท้ๆเลย @ุกข์มากบางเวลาก็ทุกข์น้อยและความทุกข์ วิ่งตามตลอดเวลาสุดท้ายเราหนีไม่ทันสุดท้ายมันจะขยี้เราตายเป็นอย่างนี้ทุกคนเลย ถ้าใจเราเห็นความจริงอย่างนี้ได้ มันก็จะรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ได้น่ารักน่าหวงแหน ความยึดถือในร่างกายนี้ก็ลดลงๆ ถึงจุดหนึ่งไม่ยึดถือในกาย เมื่อเราไม่ยึดถือร่างกาย ร่างกายจะแก่เราจะไม่เดือดร้อน ใจเราจะไม่เดือดร้อน ร่างกายจะเจ็บก็เจ็บอยู่ที่ร่างกาย จิตใจเราไม่เดือดร้อนด้วย เพราะจิตไม่ได้เข้าไปจับ ร่างกายจะตายก็เรื่องของร่างกาย จิตไม่เดือดร้อนด้วย จิตใจไม่ได้ยึดถือร่างกาย “เรายึดถือสิ่งใดมากเราจะทุกข์เพราะสิ่งนั้นมาก” อย่างรักใครมากสักคนหนึ่ง เราก็จะทุกข์เพราะคนนี้เยอะ คนที่เราเป็นกลางๆ เราไม่ได้รักไม่ได้เกลียดมาก ก็ทำให้เราทุกข์ไม่ค่อยได้หรอก คนที่เรารักมากๆ มาทำให้เราทุกข์ได้เยอะเลย งั้น #สิ่งที่เรารักมากก็คือร่างกายกับใจของเราเองรักที่สุดเลยนำความทุกข์มาให้เราเยอะที่สุดถ้าเมื่อไรเกิดหมดความรักใคร่ยึดถือในกายในใจมันจะนำความทุกข์มาสู่ใจเราไม่ได้ความทุกข์จะจบลงที่ร่างกายแค่นั้นเองเป็นความทุกข์ตามธรรมาชาติตามธรรมดาแต่ใจเราจะไม่เป็นทุกข์ด้วย ธรรมะขั้นแรก จะเห็นว่าไม่มีตัวเรา ตัวเราหายไป พอมันเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้ว อาสวะกิเลส ที่ห่อหุ้มจิตอยู่ จิตของเราจะถูก อาสวะห่อหุ้มอยู่ อาสวะย้อมอยู่ แทรกย้อมอยู่ ตรงที่ขณะแห่งอริยมรรคเกิดขึ้น อริยมรรคจะแหวก อาสวะอันนี้ขาดออกจากกัน อาสวะนี้ออกแล้วจิตจะเข้าสัมผัสพระนิพพาน สองสามขณะ พวกที่มีบารมีแก่กล้าสัมผัสพระนิพพานสามขณะ พวกที่ไม่แก่กล้าสัมผัสสองขณะไม่เหมือนกัน บุญบารมียังไม่เท่ากัน โสดาบันไม่เท่ากันเลย โสดาบางคนเกิดอีกชาติเดียวก็จะจบละ บางคนอีกสามชาติจะจบไม่เกิดอีก อีกบางคนเจ็ดชาติถึงจะไม่เกิด กำลังมันไม่เท่ากัน แต่ว่าล้างความเห็นผิดได้เท่ากันว่าตัวตนไม่มี พอถอยออกจากสภาวะนี้ จิตจะกลับเข้ามาอยู่ยังความเป็นมนุษย์ปกติอย่างนี้แหละ แล้วมันจะทวนเข้าไปดูจิต มันจะทวนอัตโนมัติเข้าไปดู มันจะพบว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกต่อไป ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอีกต่อไป ที่ไหนๆ ก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไป จะกลวงๆ ว่างจากความเป็นตัวตนไปหมด อย่างคำว่าจิตว่าง จิตว่างไม่ใช่ว่างเปล่า ว่างเปล่านั้นมันหมายถึงว่า ไม่มีอะไรเลย มันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทาง คำว่าว่างว่าง ว่างจากความเป็นตัวเป็นตน สภาวะนั้นมีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เพราะงั้นจะมีความรู้สึกว่ามันกลวงๆ มันว่างๆ ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มีการกระทำ ยังมีการส่งกระแสจากความไม่มีตัวไม่มีตน จิตที่ไม่ใช่ตัวเรา และยังส่งกระแสไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปยึดอารมณ์ได้อีก เรียกว่ามีการกระทำแต่ไม่มีผู้กระทำ จะรู้ชัดเลยว่าการกระทำมีอยู่แต่ไม่มีผู้กระทำ จะเห็นอย่างนี้ จนวันที่เป็นพระอรหันต์ผู้กระทำก็ไม่มี การกระทำก็ไม่มี มีแต่กิริยา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทางไปสู่พระนิพพาน 18 ธ ค 57 ค่ำ โดยหลวงพ่ออินทร์ถวาย ณ สวนแสงธรรม

การเกิดมรรคผล

มรรคผลนิพพานไม่ไกลนะ มันไกลสำหรับคนซึ่งไม่รู้จักวิธี#จิตก็ทรงสติปัญญามากขึ้นๆนะ #ตอนที่อริยมรรคจะเกิดเนี่ยไม่ได้ไปรู้รูปนามหรอก #จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิตัดการรับรู้ที่แผ่กว้างออกทางตาหูจมูกลิ้นกาย ตัดการรับรู้อันนั้นออกแล้วรวมลงมาที่ใจอันเดียวเห็นไหมสมาธิสำคัญนะ ที่เราฝึกให้มีตัวรู้ๆ เวลาเกิดอริยมรรคมันมาเกิดที่ตัวรู้นี่แหละไม่ไปเกิดที่อื่นหรอก ถ้าเราไม่มีตัวรู้ มีแต่ตัวร่อนเร่ ไปเกิดที่โน่นที่นี่ นั่นเรียกเวียนว่ายตายเกิด ไปเกิดที่อื่น งั้นเราฝึกให้มีตัวรู้ขึ้นมา ท่านจึงสอนในอภิธรรมสอน สัมมาสมาธิเป็นภาชนะที่รองรับองค์มรรคทั้ง ๗ ที่เหลือเข้าด้วยกัน เป็นที่ประชุมขององค์มรรค งั้นจิตประชุมที่ไหน? ประชุมที่จิต ประชุมด้วยอำนาจของสัมมาสมาธิ จิตที่มันตั้งมั่น แล้วสติเกิดที่ไหน? ที่จิต สัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาทั้งหลายแหล่เกิดลงที่จิตอันเดียวเลย ประชุมลงที่จิตอันเดียวเลย สัมมาวาจาไม่ได้ไปอยู่ที่ปากแล้ว แต่อยู่ที่จิต สังเกตไหมก่อนปากพูดจิตพูดก่อน สัมมาวาจาตอนที่อริยมรรคเกิดมันพูดอะไรรู้ไหม? มันพูดอย่างนี้ “ ” ได้ยินไหม เนี่ยสัมมาวาจา ถ้ายังอ้าแง๊บๆๆๆเนี่ยมิจฉาวาจานะ งั้นประชุมลงที่จิตเลย องค์มรรค ๘ ประการรวมลงที่จิตอันเดียวด้วยอำนาจของสัมมาสมาธินั่นเองนะ ตรงนี้อัตโนมัติทั้งหมดเลย สติระลึกรู้อยู่แค่จิตโดยไม่เจตนาระลึก สมาธิตั้งมั่นอยู่กับจิตโดยไม่เจตนาตั้งมั่น ปัญญานี่หยั่งซึ้งลงไปในจิต เห็นการทำงานภายในจิตอีกโดยไม่เจตนา สติ สมาธิ ปัญญา รวมลงที่เดียวนี้เอง อริยมรรคก็เกิด ถ้ายังกระจายๆอยู่ไม่เกิดอริยมรรค อริยมรรคมีองค์ ๘ ถามว่าอริยมรรคมีเท่าไหร่ มี ๑ เท่านั้นนะ เวลาเกิดอริยมรรคมี ๑ เท่านั้น แต่มีองค์ประกอบ ๘ อย่าง มรรคไม่ได้มี ๘ มรรคนะ แต่ว่าการเกิดอริยมรรคจะเกิด ๔ ครั้ง โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามีมรรค อรหัตมรรค มรรคแต่ละครั้งเกิด ๑ ขณะจิตเท่านั้น ไม่เกิด ๒ ขณะจิต