บทความ
กำลังแสดงโพสต์จาก พฤษภาคม, 2019
ทางเดินของจิต#ทางนิพพาน #เราไม่ลืมความตาย #คิดถึงพระพุทธเจ้า #พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเนี่ยท่านบอกว่ามีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อย แต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ #คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนนี้ไม่มีสำหรับเราอีก #การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเราเมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางมรรคผล#ทางนิพพาน #เราไม่ลืมความตาย #คิดถึงพระพุทธเจ้า #พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเนี่ยท่านบอกว่ามีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อย แต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ #คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนนี้ไม่มีสำหรับเราอีก #การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเราเมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางมรรคผล#ทางนิพพาน #เราไม่ลืมความตาย #คิดถึงพระพุทธเจ้า #พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเนี่ยท่านบอกว่ามีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อย แต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ #คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนนี้ไม่มีสำหรับเราอีก #การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเราเมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
MAHABODHI TEMPLE IN BODHGAYA I INDIA (EXPLOSIVE BONUS)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระโสดาบันคือท่านผู้เห็นความจริงว่าตัวเราไม่มี” เรียกว่า “ละสกายทิฐิ”ได้ ท่านเห็นว่าตัวเราไม่มีนะ ในกายนี้ ในใจนี้ ไม่มีตัวเรา กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวเรานอกเหนือจากกายจากใจนี้อีก สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเราอยู่ตลอดเวลา ก็คือกายนี้ใจนี้เท่านั้นแหละ รูปนาม ขันธ์๕ อายตนะ๖ ธาตุ๑๘ แล้วแต่จะเรียกนะ รวมความง่ายๆ ก็คือ รูปกับนาม คือกายกับใจนี่เอง เราเห็นว่ามันเป็นตัวเรา ถ้าเมื่อไหร่เราสามารถพัฒนาจิตใจ จนเราเห็นความจริงนะว่าตัวเราไม่มีหรอก กายนี้ไม่ใช่เราใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกายในใจนี้ ไม่มีเรานอกเหนือกายนอกเหนือใจนี้ เราก็จะได้เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อการตรัสรู้ในวันข้างหน้า วันหนึ่งก็เป็นพระอรหันต์ เหมือนคนตกลงในกระแสน้ำนะ น้ำพัดพาไปนะ วันหนึ่งไปถึงทะเล ทำยังไงเราถึงจะสามารถเห็นได้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนบอกว่า คนในศาสนาอื่นเค้าสามารถเห็นได้ว่า กายไม่ใช่เรา มีแต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะ ถึงจะพัฒนาจิตใจเรา จนเราเห็นความจริงว่า จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา อย่างคนที่เรียนกับหลวงพ่อนะ ซักเดือนสองเดือนเนี่ย สาม
smartphone #สมาร์ทโฟน #โทรศัพท์มือถือ#Firmware Software
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
วิธีแก้ทุกข์ :: หลวงพ่อปราโมทย์ 31 มี.ค. 2562 (ไฟล์ 620331A ซีดี 81)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
วิธีแก้ทุกข์ของพระพุทธเจ้า คือรู้เหตุของทุกข์ ศึกษาลงไปที่เหตุ ว่าความทุกข์เกิดจากอะไร แล้วก็ละที่เหตุ ไม่ใช่ไปละที่ตัวความทุกข์ ตัวความทุกข์เป็นผล มันมีเหตุ มันถึงเกิดขึ้นมา แล้วท่านก็สอนให้เรารู้จักเหตุของความทุกข์นั้น รู้จักละ เหตุของความทุกข์นั้น -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ 31 มีนาคม 2562 ไฟล์ 620331A ซีดีแผ่นที่ 81 ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง เว็บไซต์ทางการ: https://dhamma.com https://fb.com/dhammateachings https://instagram.com/dhammadotcom Line : @dhammadotcom
วิธีแก้ทุกข์ :: หลวงพ่อปราโมทย์ 31 มี.ค. 2562 (ไฟล์ 620331A ซีดี 81)วิธีแก้ทุกข์ของพระพุทธเจ้า คือรู้เหตุของทุกข์ ศึกษาลงไปที่เหตุ ว่าความทุกข์เกิดจากอะไร แล้วก็ละที่เหตุ ไม่ใช่ไปละที่ตัวความทุกข์ ตัวความทุกข์เป็นผล มันมีเหตุ มันถึงเกิดขึ้นมา แล้วท่านก็สอนให้เรารู้จักเหตุของความทุกข์นั้น รู้จักละ เหตุของความทุกข์นั้น -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ 31 มีนาคม 2562 ไฟล์ 620331A ซีดีแผ่นที่ 81 ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง เว็บไซต์ทางการ: https://dhamma.com https://fb.com/dhammateachings https://instagram.com/dhammadotcom Line : @dhammadotcom
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
วิธีแก้ทุกข์ :: หลวงพ่อปราโมทย์ 31 มี.ค. 2562 (ไฟล์ 620331A ซีดี 81)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
การได้ดวงตาเห็นธรรม“ภิกษุทั้งหลาย #จักษุเกิดขึ้นแล้ว #ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้น แล้ว #วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ‘นี้ทุกขอริยสัจ’จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า‘ทุกขอริยสัจนี้ควรกำหนดรู้’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า‘ทุกขอริยสัจนี้ตถาคตทั้งหลายได้กำหนดรู้แล้ว’ ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ‘นี้ทุกขสมุทยอริยสัจ’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า“ทุกขสมุทยอริยสัจนี้ควรละ’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า “ทุกขสมุทยอริยสัจนี้ตถาคตทั้งหลายละได้แล้ว’ ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟัง มาก่อนว่า ‘นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า‘ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ควรทำให้แจ้ง’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า‘ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ตถาคตทั้งหลายได้ทำให้แจ้งแล้ว’ ภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ‘นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า‘ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้ควรเจริญ’ จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตทั้งหลายในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ‘ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทานี้ ตถาคตทั้งหลายได้เจริญแล้ว”
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางนิพพาน#จุดสุดท้ายที่พวกเราจะภาวนาได้นะก็คือภาวนาจนกระทั่งจิตเป็นกลางด้วยปัญญาเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่างเลยความสุขความทุกข์กุศลอกุศลเกิดแล้วดับๆ #ดูไปวันนึงจิตมีปัญญาเห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับจิตจะเป็นกลาง จิตเป็นกลางตัวนี้เรียกว่าจิตมีสังขารุเบกขาญาณญาณแปลว่าปัญญา #สังขารุเบกขาก็คือมีเบกขาต่อความปรุงแต่งทั้งดีทั้งชั่วทั้งสุขทั้งทุกข์จิตที่เดินมาถึงสังขารุเบกขาญาณเนี่ยจะมีรอยแยกสองทาง มีทางแยก ทางที่หนึ่งนะ พวกเห็นภัยในสังสารวัฏ พวกนี้จะพลิกไปสู่การเกิดมรรคผล พวกที่สองนะ เกิดความกรุณาสงสารสัตว์โลก จิตจะพลิกไปสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ มีพลิกไปได้สองทาง แล้วพวกที่เป็นโพธิสัตว์ ที่เข้ามาถึงตรงนี้ได้นะ ถ้าไปเจอพระพุทธเจ้าเนี่ย อาจจะได้รับพยากรณ์ว่าอีก 16 อสงไขยแสนมหากัปป์จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง อีกนาน โลกแตกหลายรอบสิ่งที่เรารักมากที่สุดคือ ร่างกาย และจิตใจของเรานี่แหละแต่เราไม่สนใจ เราไปสนใจสิ่งอื่น สตินี้แหละยิ่งเกิดบ่อยยิ่งดี นอกจากการเจริญสติแล้วไม่ใช่ทางหรืออริยมรรคที่แท้จริง คำสอนใดที่มุ่งปรุงแต่ง(กุศล)เพื่อแก้ความปรุงแต่ง(อกุศล) คำสอนนั้นเป็นไปเพื่อความเนิ่นช้า (แต่อาจจำเป็นในเบื้องต้นสำหรับบางคน) คำสอนใดให้เจริญสติรู้ทันความปรุงแต่ง(ทั้งกุศลและอกุศล)จนพ้นจากความปรุงแต่ง(ทั้งกุศลและอกุศล) คำสอนนั้นเป็นทาง(มรรค)ตัดตรงเข้าถึงความพ้นทุกข์สิ้นเชิง(นิโรธ/นิพพาน)สิ่งที่เรารักที่สุดคือ ร่างกาย และจิตใจของเรานี่แหละแต่เราไม่สนใจ เราไปสนใจสิ่งอื่น กายกับใจเป็นตัวทุกข์อยู่แล้วนะ พอเกิดตัณหา เกิดอุปาทานคือความยึดถือ ก็เกิดภพคือการดิ้นรนทำงานของจิต ความทุกข์ก็จะเกิดซ้ำซ้อนขึ้นที่จิตอีกชั้นหนึ่ง เมื่อไม่รู้ทุกข์นะ มันก็เกิดสมุทัย จิตใจก็ดิ้นรนปรุงแต่ง นิโรธก็ไม่ปรากฏ นิโรธคือนิพพาน นิพพานคือสภาวะซึ่งพ้นจากความปรุงแต่ง สภาวะซึ่งพ้นจากตัณหา สภาวะที่พ้นจากความปรุงแต่ง มีชื่อเป็นภาษาแขกว่า วิสังขาร สภาวะที่พ้นจากตัณหามีชื่อว่าวิราคะ อันนี้เป็นชื่อของนิพพานทั้งสิ้นเลยนะ เมื่อจิตยังดิ้นรนค้นคว้า จิตยังมีความอยากมีความยึดถืออยู่ นิพพานไม่ปรากฏ ความพ้นทุกข์ไม่มี เพราะยังวนเวียนยึดถือขันธ์อยู่ ต่อเมื่อไรรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยถูกละอัตโนมัติ นิโรธแจ้งอัตโนมัติ อริยมรรคก็เกิดอัตโนมัติเลย พระพุทธเจ้าไม่ได้เพียงบอกว่าให้เรารู้แจ้งอริยสัจเท่านั้น แต่ท่านบอกวิธีที่จะทำให้เรารู้แจ้งอริยสัจด้วย คือให้รู้ทุกข์ ทุกข์คือกายกับใจ ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งนะ สมุทัยดับเอง นิโรธปรากฏเอง อริยมรรคเกิดขึ้นเอง ข้ามเข้ามา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงวิญญาณธาตุ ธาตุรู้แท้ๆแล้ว ธรรมธาตุ ตัวนี้ แล้วอริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่นี้ ถูกอริยมรรคแหวกออก แหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียว ขาดเลย มันคล้ายๆ เปิดสวิตช์ไฟปั๊บ สว่างวูบเดียว ความมืดหายไปเลยนะ ในพริบตานั้นเลย จิตถัดจากนั้นนะ จะเห็นพระนิพพานอีก ๒ – ๓ ขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็น ๒ ขณะ บางคนเห็น ๓ ขณะ ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็น ๓ ขณะ พวกอินทรีย์ไม่กล้ามาก ก็เห็น ๒ ขณะ เพราะฉะน้นพระอริยะในภูมิเดียวกันนะ ระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรอย่างนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพาน ก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี้แหละ แต่โง่เอง ไม่เห็น ทำไมไม่เห็น มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เขาปล่อย เขาข้ามแล้ว เขาทิ้งแล้ว ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตรน่ะ ข้ามจากปุถุชน มาเป็นพระอริยะ ข้ามทิ้งตรงนี้ มันทิ้งหมดเลยนะ มันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเอง ทีนี้พวกเราก็มีหน้าที่ภาวนาให้มันพอเท่านั้นแหละ ถ้ามันพอเมื่อไหร่ มันก็ข้ามโคตร เปลี่ยนสกุล ก็ไม่ใช่นามสกุลเดิม โดยสมมุติบัญญัติก็เป็นนามสกุลเดิม โดยปรมัตถ์แท้ๆก็ไม่ใช่ละ ก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเวลาพระพุทธเจ้าท่านพูดถึงพระอริยะนะ ท่านจะบอกว่า ลูกของเรา จิตต้นกำเนิดหรือจิตอวิชา หรือจิตผู้รู้ ตัวเดียวกัน ที่พวกเราต้องฝึกหาจิตผู้รู้นะ ให้มีจิตผู้รู้นะ นั่นแหละจิตผู้รู้นั้นแหละ ยังเป็นจิตอวิชาอยู่ แต่อาศัยมันก่อน แล้ววันหนึ่งก็ค่อยมาทำลายตัวนี้ไปอีกทีหนึ่งก่อน เนี่ยดูแล้วมันละเอี๊ยดละเอียดนะ มันสว่าง มันผ่องใสนะ มันมีอวิชาซ่อนอยู่
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เพลงสรรเสริญพระพุทธเจ้า อินเดีย
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI GHABADAE JAB MAN-ANAMOL HRIDYA HO UTHE ḌAṆVAḌOL. GHABADAE JAB MAN-ANAMOL AUR HRIDYA UTHE HO ḌAṆVAḌOL. HO TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI JAB AṢANTIKÃ RAG UTHE LÃLLAHUKÃ̃ PHAG UTHE. HINSÃ KI TO ÃG UTHE MÃNAV MEṆ PAṢU JAG̣ UTHE. UPARASE MUSAKÃ TE NAN BHITÃR DAHAKA RAHE TO HO. HO TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI. (BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI) JAB DUNIYÃN SE PYAR UTHE. JAB DUNIYÃN SE PYAR UTHE . NAPHARAT KĨ DĨVÃR UTHE. MÃN KI MAMATÃ PAR USKĨ BEṬEKI TALAVÃR UTHE. DHARATĨ KĨ KÃYÃKÃPE AMBAR DAGMAG UTHE DOL . HO TAB MÃNAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL.
ผู้สละโลก ทุกข์ในรูปแห่งสุขคำนำในการพิมพ์วรรณกรรมธรรม ผู้ ส ล ะ โ ล ก ฉบับพิมพ์ ครั้งที่ ๑ .เรื่องผู้สละโลกนี้ เป็นประวัติของพระสาวกบางท่าน ซึ่งได้สละความสุขอย่างโลกๆ มาแสวงหาความสุขทางธรรม และท่านก็ได้พบความสุขนั้นสมใจหมายอันที่จริง ท่านเหล่านี้มีพระสารีบุตร เป็นต้น พิจารณาตามประวัติแล้ว มีโอกาสเป็นอันมาก ในการที่จะเสวยความสุขทางโลกอย่างที่ชาวโลกมุ่งมอ ง ปักใจใฝ่ฝัน และแสวงหา อย่างชนิดที่เรียกว่า “ทุ่มชีวิตลงไปทั้งชีวิต” แต่ท่านเหล่านั้นกลับสละทิ้ง อย่างไม่ใยดีไปมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ ไม่มีความวุ่นวายกังวล บางท่านเป็นถึงพระราชาครองแคว้น เช่น พระมหากัปปินะ เมื่อได้ตัดสินพระทัยสละโลก มาอยู่ภายใต้ร่มธงแห่งธรรมแล้ว ทรงเปล่งอุทาน อยู่เสมอๆว่า “สุขจริงหนอๆ” ทั้งนี้เพราะความสุขทางธรรม - สุขอันเกิดจากความสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลนั้น เป็นความสุขที่ประณีตชุ่มเย็นในดวงจิต เหนือความสุขทางโลกียารมณ์อันเจือด้วยความกระหาย เร่าร้อนกระวนกระวายและทุกข์ รายละเอียดเกี่ยวกับข้อความทำนองนี้มีอยู่แล้ว ดาษดื่นในหนังสือเล่มนี้ในศาสนานี้ ท่านผู้สละโลกเพื่อโลกเป็นพระองค์แรก ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมองเห็นว่า การหมกมุ่นอยู่ในโลกนั้นเป็นการยากที่จะช่วย เพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ได้ เหมือนคนไข้รักษาคนไข้ด้วยกัน จะทำได้สักเท่าใด แต่เมื่อจิตใจพ้นจากโลกแล้ว การหลั่งประโยชน์แก่โลก ย่อมทำได้เต็มที่ และมีผลยั่งยืนแก่โลกนั้น คำว่าโลก ที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ มิได้หมายถึงโอกาสโลก แต่หมายถึง กามโลก คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส อันยั่วยวนใจเป็นบ่วงบาศคล้องใจสัตว์ให้จมอยู่ หมกมุ่นพัวพัน ลุ่มหลง อยู่ในกามโลกนั้น บางทีพระพุทธองค์ทรงเรียกสิ่งนี้ว่า ตะปูตรึงใจ (เจโตขีละ) นอกจากสิ่งเร้าภายนอกคือกามคุณ ๕ ดังกล่าวแล้วยังมีแรงกระตุ้นภายใน คือ กิเลส เช่น ความกำหนัด เพราะความดำริถึง(สังกัปปราคะ) ความปักใจใฝ่ฝันใคร่ได้ใคร่มีชุ่มอยู่ในดวงจิต เหมือนเชื้อเพลิงอย่างดีชุ่มอยู่ด้วยน้ำมัน พอไฟคือสิ่งเร้าภายนอกมากระทบ ก็พลันลุกไหม้เผาทั้งน้ำมันและเชื้อเพลิงนั้น ด้วยเหตุนี้แหละ พระองค์ผู้ทรงสละโลกเป็นปฐม จึงตรัสว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสและความนึกคิด (อันเจือด้วยกาม) นั้นเป็นของร้อน - ร้อนเพราะเพลิงกิเลสมีราคะเป็นต้น และร้อนเพราะเพลิงทุกข์มีความเกิดเป็นอาทิ (อาทิตตปริยายสูตร) การได้รู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้างก็เป็นการดี เป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิต เพราะเมื่อชีวิตประสบความเร่าร้อนขึ้นเมื่อใด จะได้รู้สึกตัวและมองเข้ามาในตนว่า “บัดนี้เราถูกเพลิงกิเลสเผาเอาแล้ว” แทนการโวยวายป้ายโทษให้แก่ผู้อื่นโดยส่วนเดียว มิได้แลเหลียวถึงกิเลสในใจตนบ้างเลย ถ้าไม่มีกิเลสต่างๆ อันเป็นเหมือนเชื้อเพลิงแล้ว อารมณ์ต่างๆ ภายนอกที่ได้ประสบ ซึ่งโดยปกติทำให้เร่าร้อนนั้นก็ไร้ความหมายไปเอง เหมือนเอาคบเพลิงแหย่ลงไปในแม่น้ำ ตราบใดที่ยังมีกามราคะ ตราบนั้นก็ยังต้องเกิดอีก ในกามโลกอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสุข (เล็กน้อย) และทุกข์ (อันหนักหน่วงยืดเยื้อยาวนาน) ต้องชอกช้ำขมขื่นเมื่อจำต้องดื่มอารมณ์อันแสลงใจ มีภัยอันตรายอยู่รอบด้าน ซึ่งตนเองทำให้เกิดขึ้นบ้าง คนอื่นทำให้เกิดขึ้นบ้างทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทุกข์ภัยเหล่านั้นทั้งหมดย่อมมีความเกิดเป็นมูลฐาน ความสุขอันใดที่โลกหยิบยื่นให้ นอกจากจะเล็กน้อยแล้ว ยังเจืออยู่ด้วยทุกข์ มีทุกข์แอบแฝงซ่อนเร้นเข้ามา เหมือนเหยื่อที่พรานเบ็ดเกี่ยวเอาไว้เพื่อความพินาศ วอดวายของปลารูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส อันยั่วยวนใจนั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า “โลกามิส - เหยื่อของโลก” ผู้ไม่กำหนดรู้โทษของเหยื่อเหล่านี้ เข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างตะกละตะกลามลุ่มหลงผูกพันย่อมถูกเบ็ด คือ ความทุกข์เกี่ยวเอาจนไม่อาจดิ้นให้หลุด เพื่ออิสรภาพของตนได้ ต่อแต่นั้นก็หยั่งลงสู่ทุกข์ (ทุกฺโขติณฺณา) มีทุกข์ดักอยู่เบื้องหน้า (ทุกฺขปเรตา) คร่ำครวญอยู่ว่าทำอย่างไรหนอเราจักพ้นทุกข์นี้ได้ ผู้สละโลก คือท่านผู้สละเหยื่อของโลก ไม่ติดเหยื่อของโลกเป็นผู้อันโลกจะครอบงำย่ำยีมิได้ ย่อมเที่ยวไปในโลกได้อย่างเสรี เหมือนเนื้อที่ไม่ติดบ่วงของพรานไพร แม้บางคราวจะเกี่ยวข้องอยู่ด้วยบ่วง นอนทับกองบ่วงอยู่ แต่บ่วงก็หาทำอันตรายแต่ประการใดไม่ ดังพระพุทธวจนะอันลึกซึ้งจับใจที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! เนื้อป่าที่ติดบ่วงแล้ว นอนทับบ่วงอยู่ย่อมถึงความเสื่อมความพินาศ หนีไปไม่ได้ตามปรารถนา ถูกพรานเนื้อกระทำเอาได้ ตามต้องการฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่ยังใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน เข้าไปเกี่ยวข้อง กับกามคุณ ๕ โดยไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเครื่องสลัดตนออก สมณพราหมณ์พวกนั้นย่อมถึงความเสื่อม ความพินาศ ถูกมารใจบาปกระทำเอาได้ตามต้องการฉันนั้น ส่วนสมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลงไม่ติดพัน เข้าไปเกี่ยวข้องกับกามคุณ ๕ โดยเห็นโทษมีปัญญาเครื่องสลัดตนออก สมณพราหมณ์พวกนั้นย่อมไม่ถึงความเสื่อม ความพินาศ ไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำเอาได้ตามต้องการ เหมือนเนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง แม้จะนอนทับกองบ่วงอยู่ ก็ย่อมไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ เมื่อพรานเดินเข้ามาก็หนีไปได้ตามปรารถนา ไม่ถูกพรานทำเอาได้ตามต้องการ” (ปาสราสิสูตร ๑๒/๓๒๘) พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์โลกผูกพันอยู่ในความหลง ตกอยู่ในความมืด มีน้อยคนที่จะเห็นแจ้งตามเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงมีน้อยคนที่ไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดข่ายของนายพรานแล้ว น้อยตัวที่จะพ้นไปได้” โลกียมหาชนนั่นเอง ตกอยู่ในความมืด เป็นผู้บอดเพราะไม่มีปัญญาจักษุ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นผู้ใจบอด ไม่อาจมองเห็นสัจจะแห่งโลกได้ เขามีแต่ตาเนื้อ สำหรับเห็นรูปต่างๆ อันยั่วยวนให้หลงใหล หรือให้หลงรัก หลงชัง แล้วดิ่งลงไปในนรก คนไปสวรรค์เหมือนเขาโค ส่วนคนไปนรกเหมือนขนโค คนทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครพ้นได้ ความตายของปุถุชนมีคติไม่แน่นอน บางชาติตกนรก บางชาติไปสวรรค์ บางชาติเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน บางชาติเป็นเปรต เป็นอสูรกาย สุดแล้วแต่กรรม น่าหวาดเสียว น่ากลัว ความทุกข์ในกำเนิดดิรัจฉาน เช่นสุนัข เป็นต้น ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร ! แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็น่าหวาดเสียวอยู่นั่นเอง เพราะมนุษย์มีหลายประเภท หลายสภาพ บางคนพิกลพิการ อดอยาก เจ็บกายเจ็บใจ อยู่ตลอดชีวิต แม้คนที่มั่งมีและมีอวัยวะสมบูรณ์ ก็ยังถูกกิเลสเผาให้เร่าร้อนอยู่เป็นประจำ ความต้องการออกจากโลกเป็นโลกุตตรชนนั้น เป็นทรรศนะและอุดมคติของนักปราชญ์ ทั้งนี้เพราะได้มองเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า โลกนี้ไม่มีอะไรควรยึดมั่น สิ่งใดที่บุคคลเข้าไปยึดมั่น สิ่งนั้นก่อให้เกิดทุกข์เสียทุกครั้งไป ความสุขก็เล็กน้อย ไม่พอกับความทุกข์ที่กระหน่ำอยู่ทุกเวลามิได้เว้น โลกนี้มีความทรุดโทรม แวดล้อมอยู่ด้วยทุกข์รอบด้าน มีปัญหามาก พร่องอยู่เป็นนิตย์ มีความขัดข้องที่จะต้องแก้ไขอยู่เสมอ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นกัลยาณมิตร ของท่านผู้ต้องการสละโลก (แม้จะยังสละไม่ได้ก็ตาม) และแม้ท่านผู้ยังต้องการอยู่ในโลก อย่างไม่เป็นทาสของโลกหรืออยู่อย่างมีทุกข์น้อยที่สุด หนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นเพื่อนที่ดีของท่านได้อยู่นั่นเอง บุญกุศลใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยกำลังกาย กำลังใจ และกำลังศรัทธา ขอบุญกุศลนั้นพึงเป็นเพื่อนใจ หยั่งลงเป็นอุปนิสัยบารมีคอยกระตุ้นเตือนชักนำ ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติเห็นโทษและเห็นภัยในโลก ไม่ติดโลก ไม่ติดในภพมีปัญญาในการสลัดตนออก มีจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ดำรงตนอยู่อย่างอิสระ ได้รับความสงบเย็นเต็มที่ ในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศดีแล้วด้วยเถิด วศิน อินทสระ ๙ ธันวาคม ๒๕๒๐
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทาง#จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิโดยอัตโนมัติเมื่อรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้วตรงนี้จะไม่คิดไม่นึกอะไรแล้ว #จะเห็นสภาวธรรมรูปธรรมนามธรรมเกิดดับขึ้นภายใน๓ขณะใจนี้สักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริงไม่มีกระทั่งความคิดนึกปรุงแต่งใดๆสักนิดเดียวเลยถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้สภาวะทบทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ #พอทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะแหวกอาสวะกิเลสทั้งหลายหรือสังโยชน์ทั้งหลายอาสวะที่ห่อหุ้มจิตอยู่ สังโยชน์ที่แทรกอยู่ในจิตจะถูกทำลายออกไปตรงกระบวนการทำลายล้างนี่๑ขณะเท่านั้นพอขาดสะบั้นลงแล้วตรงนี้เราจะเห็นนิพพาน๒ขณะบ้าง๓ขณะบ้าง ตรงนี้เป็นผลแล้วเป็นโลกุตรผลนะตรงที่เกิดอริยมรรคเรียกว่าโลกุตตรเหตุมรรคเป็นเหตุผลเป็นผลตรงที่เห็นเป็นผลนี่จะเห็นไม่เท่ากันพวกที่สติปัญญาแก่กล้าจะเห็นนิพพาน๓ครั้ง๓ ขณะพวกที่ยังไม่แก่กล้าจะเห็นนิพพาน๒ขณะ #ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมากลับสู่โลกภายนอกนี้พอกลับมาสู่โลกภายนอกมันจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นมันจะรู้เลยว่ากิเลสตัวไหนหายไปแล้วกิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่รู้ว่ายังมีงานต้องทำอีกแต่ถ้าตัดครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์นะมันทวนวับเข้าไปมันจะเห็นนิพพานชัดเจนเลยไม่มีกิเลสอะไรให้ต้องลดละอีกแล้วมันไม่มีกิเลสเหลือจะเห็นนิพพานล้วนๆเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพ่อแม่ เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้หอบเอานิพพานแล้วหายไปไหน นิพพานยังอยู่เต็มโลกเต็มบริบูรณ์อยู่นี่แหละ คนมีบุญวาสนามีปัญญาแก่รอบ เจริญวิปัสสนาแก่รอบแล้วก็จะได้รับ นี่รางวัลสูงสุดของชีวิตอยู่ตรงนี้ ชีวิตที่เหลือเป็นชีวิตที่อิสระโปร่งเบา ปราศจากความอยาก ความยึดและความดิ้นรนปรุงแต่ง ไม่มีความทุกข์หรือสิ่งใดครอบงำจิตได้อีกแล้วธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน ต้องแยกให้ออก มันยังทวนไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิต ไม่ใช่พระอริยะ เพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั่นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้นะเรียกว่าโคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ข้ามโคตรจากโคตรไหนมาสู่โคตรไหน? จากโคตรของปุถุชนมาสู่โคตรของอริยชน เพราะงั้นบรรลุมรรคผลแล้วเปลี่ยนโคตรนะ ข้ามจากสกุลของปุถุชน ข้ามมาสู่อริยวงศ์อริยโคตร เรียกญาณข้ามโคตร ไม่ใช่ปุถุชนนะ กำลังข้ามอยู่ ไม่ใช่พระอริยะ มีอยู่ขณะจิตเดียวแหละที่คาบลูกคาบดอกประหลาดอยู่อย่างนี้ ข้ามมา ทวนเข้ามาถึงจิตแท้ ถึงธาตุรู้แท้ๆ ธรรมธาตุ ตัวนี้อริยมรรคก็จะเกิดขึ้น อาสวกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ถูกอริยมรรคแหวกออกทำลายออก ก็ล้างกิเลส ล้างในพริบตาเดียว ในขณะเดียว วับเดียวเลย ขาดเลย มันคล้ายๆเปิดสวิตซ์ไฟ ปั๊บ สว่างวุ๊บเดียวความมืดหายไปเลย ในพริบตานั้นเลย จากนั้นนะจะเห็นพระนิพพานอีกสองสามขณะ เห็นไม่เท่ากันหรอก บางคนเห็นสองขณะ บางคนเห็นสามขณะ #ถ้าพวกอินทรีย์กล้ามากๆก็เห็นสามขณะ #พวกอินทรีย์ยังไม่กล้ามากก็เห็นสองขณะนะ งั้นพระอริยะในภูมิธรรมอันเดียวกันระดับเดียวกัน ความรู้ความเข้าใจไม่เท่ากัน ความแตกฉานอะไรนี้ไม่เท่ากัน เห็นพระนิพพานแล้วก็รู้ว่านิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา นิพพานไม่เคยหายไปไหน อยู่ต่อหน้าต่อตานี่แหละ แต่โง่เองไม่เห็น ทำไมไม่เห็น? มัวแต่เห็นแต่กาม มัวแต่เห็นรูปภพ มัวแต่เห็นอรูปภพ จิตไม่รู้จักปล่อย ตรงที่เค้าปล่อยน่ะเค้าข้าม เค้าทิ้งแล้ว #ตรงโคตรภูญาณที่จิตข้ามโคตรข้ามจากปุถุชนมาเป็นพระอริยะข้ามตรงนี้มันทิ้งหมดเลยนะมันทิ้งกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ทิ้งหมดเลย ข้ามมาสู่อริยภูมิ โลกุตรภูมิ ข้ามเองการปฎิบัติธรรมเนี่ย เราอย่าไปวาดภาพให้มันยุ่งยาก ธรรมะไม่ใช่ของลึกลับ พวกเราชอบคิดว่าธรรมะคืออะไรก็ไม่รู้ ลึกลับ รู้แต่ว่ามันเป็นของดี เราคิดแต่ว่ามันอยู่ไกลๆ เราต้องทำอีกนานๆถึงจะเจอ เราชอบคิดว่าธรรมะอยู่ที่วัด ธรรมะอยู่ที่พระ หรือธรรมะอยู่ที่การเข้าคอร์ส แท้จริงธรรมะไม่ได้พิกลพิการยากไร้ขนาดนั้นหรอก ธรรมะอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่เกิด ถ้าพวกเราอยากได้ธรรมะเนี่ย ให้ย้อนมาเรียนที่ตัวธรรมะจริงๆ อะไรเป็นตัวธรรมะตัวจริง กายนี้แหละเป็นธรรมะเรียกว่ารูปธรรม ชื่อมันบอกอยู่แล้วว่ามันเป็นธรรมะ เรียกว่ารูปธรรม ใจของเรานี้แหละเป็นธรรมะ เรียกว่านามธรรม อย่าไปแสวงหาธรรมะที่อื่น หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอนะ จะมาฟังอาตมาพูดกี่วันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ธรรมะ(แท้ๆ – ผู้ถอด)เรียนไม่ได้ด้วยการฟัง เรียนไม่ได้ด้วยการอ่าน เรียนไม่ได้ด้วยการคิดๆเอา ทางเดียวที่จะเรียนธรรมะได้นี่นะ คือต้องเรียนจากครูของเราจริงๆ ครูที่จะสอนธรรมะเราได้มีสองคนเท่านั้น คือ รูปกับนามหรือกายกับใจของเรานี่เอง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือ ให้คอยรู้ลงที่กายคอยรู้ลงที่ใจเนืองๆ กายและใจจะสอนธรรมะของจริงให้เราดู คนส่วนใหญ่เที่ยวหาธรรมะภายนอก ก็มีแต่หลงออกไปภายนอก ละเลยที่จะเรียนรู้เรื่องของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าสอนให้น้อมเข้ามา โอปนยิโก น้อมกลับเข้ามา มาเรียนเรื่องของตัวเราเอง เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมะในตำราอภิธรรมจะสอน บอกว่าต้องรู้รูปนามต้องรู้กายรู้ใจนะ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
อินทรีย์ไม่กล้าเวลาวิมุติอริยมรรคเกิดแต่ละขั้นๆ ก็มีความสุขเป็นลำดับๆ ไป ถึงจุดสุดท้ายก็มีความสุขล้วนๆ มีความสุขเพราะว่ามันไม่มีอะไรเข้ามาเคลือบจิตได้อีกจิตเราถูกห่อหุ้มไว้ มีเปลือกหุ้ม จิตเค้าถูกห่อหุ้มด้วยอาสวะ ยังปนเปื้อน เยิ้มๆ จิตยังปนเปื้อน ความปนเปื้อนนี้แหละ เป็นช่องทางให้กิเลสไหลเข้ามาสู่จิต ดูอย่างนี้ก็ได้ แล้วจะเห็นเอง จิตใจนี้เป็นอิสระ รู้สึกมั้ยจิตใจไม่เป็นอิสระ ตอนนี้รู้สึกมั้ย อาจจะไม่เห็นตัวอาสวะตรงๆ แต่เห็นผลของจิตที่มีอาสวะ ไม่อิสระ จริงๆ จิตถูกอาสวะห่อหุ้มไว้ อาสวะนี่ เทียบแล้วคล้ายๆ กับ เรามี สมมติอยู่บ้านไม้ ใครเคยอยู่บ้านไม้ เวลาเราทำน้ำหกน้ำไหลไปเนี่ย เราจะเห็นเส้นทางที่เราเช็ดให้แห้ง เทน้ำลงไปที่เก่า มันไหลไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว มันนำร่อง ความชื้นเดิมมันนำร่อง เพราะน้ำนี้ไหลไปตามความชื้นเดิม อาสวะกิเลสนี่มันนำร่องกิเลสเข้าไปย้อมจิต จิตของเราไม่มีอิสระ เหมือนลูกไก่ที่อยู่ในเปลือกไข่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านเป็นลูกไก่ที่เจาะเปลือกไข่ออกมาเป็นตัวแรก ท่านใช้คำเปรียบเทียบได้ดี เคยมีพราหมณ์คนนึงไปว่าพระพุทธเจ้า บอกอายุก็ยังน้อยพราหมณ์ผู้แก่ผู้เฒ่ามาก็ไม่ไหว้ไม่ต้อนรับ เฉยเมย ท่านบอกว่าท่านอาวุโสที่สุด ท่านเป็นลูกไก่ที่เจาะเปลือกออกมาได้ พวกที่เหลือยังอยู่ในไข่อยู่เลย ท่านจะไปไหว้ทำไม คำพูดของท่านนะ น่าฟัง จริงๆ แล้วเรามีเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ จิตถูกอาสวะกิเลสห่อหุ้ม ทำยังไงก็ไม่ขาด ไม่ขาด ทำยังไง ยังไง้ ยังไงก็ไม่ขาด พระไตรปิฎกก็เลยใช้คำบอกว่า เวลาบรรลุพระอรหันต์นะ จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะความไม่ถือมั่น เห็นมั้ย หลุดพ้นจากอาสวะ อาสวะมันห่อหุ้มไว้ จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะความไม่ถือมั่น ไม่ถือมั่นในอะไร ในรูปนาม ในกายในใจ เนี่ยกุญแจของการปฏิบัติอยู่ที่กายกับใจนี่เอง เมื่อไรไม่ถือมั่นในกายในใจ โดยเฉพาะเมื่อไหร่ไม่ถือมั่นในใจในจิต อาสวะจะขาดโดยอัตโนมัติ ถ้าเราเห็นอาสวะแล้วพยายามตัด ทำยังไงก็ไม่ขาด กำหนดจิตให้แหลมคมแค่ไหนก็ไม่ขาดนะ แทงก็ไม่ทะลุนะ พอมันขาดเราจะรู้สึกว่าเรามีอิสระ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
สภาพของเรา#พระโสดาบันคือท่านผู้เห็นความจริงว่าตัวเราไม่มี #เรียกว่าละสกายทิฐิได้ท่านเห็นว่าตัวเราไม่มีนะกายนี้ไม่ใช่เราใจนี้ไม่ใช่เรา ในกายนี้ ในใจนี้ ไม่มีตัวเรา กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวเรานอกเหนือจากกายจากใจนี้อีก #สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเราอยู่ตลอดเวลาก็คือกายนี้ใจนี้เท่านั้นแหละ รูปนาม ขันธ์๕ อายตนะ๖ ธาตุ๑๘ แล้วแต่จะเรียกนะ รวมความง่ายๆ ก็คือ รูปกับนาม คือกายกับใจนี่เอง เราเห็นว่ามันเป็นตัวเรา ถ้าเมื่อไหร่เราสามารถพัฒนาจิตใจ จนเราเห็นความจริงนะว่าตัวเราไม่มีหรอก กายนี้ไม่ใช่เราใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกายในใจนี้ ไม่มีเรานอกเหนือกายนอกเหนือใจนี้ เราก็จะได้เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อการตรัสรู้ในวันข้างหน้า วันหนึ่งก็เป็นพระอรหันต์ เหมือนคนตกลงในกระแสน้ำนะ น้ำพัดพาไปนะ วันหนึ่งไปถึงทะเล ทำยังไงเราถึงจะสามารถเห็นได้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนบอกว่า คนในศาสนาอื่นเค้าสามารถเห็นได้ว่า กายไม่ใช่เรา มีแต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะ ถึงจะพัฒนาจิตใจเรา จนเราเห็นความจริงว่า จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา อย่างคนที่เรียนกับหลวงพ่อนะ ซักเดือนสองเดือนเนี่ย สามารถเห็นได้แล้วว่ากายไม่ใช่เรา แต่ส่วนมากก็ยังเห็นว่าจิตเป็นเราอยู่ ถ้าวันใดเห็นว่าจิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกาย ไม่มีเราในจิต ก็ได้ธรรมะ เป็นปลอดภัย ไม่ไปอบายละ ชีวิตมีความสุข มีความสงบ มีความมั่นคง กิเลสหายไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ทำยังไง เราจะสามารถเห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรานะ เรามาดูของจริง การดูของจริงของกายของใจเรียกว่า “การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน” การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ต้องเห็นความจริงของกายของใจ ไม่ใช่เห็นกายเห็นใจนะ พวกเราอย่าตื้น บางคนตื้นเกินไป คิดว่าแค่รู้กาย แค่รู้ใจก็คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน....ไม่ใช่ วิปัสสนากรรมฐานต้องเห็นความจริงของกายของใจ ความจริงของกายของใจคือไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังก็คือสิ่งซึ่งมันเคยมีแล้วมันไม่มี สิ่งซึ่งเคยไม่มีมันกลับมีขึ้นมานี่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง คือ มันทนอยู่ไม่ได้นะ มันถูกสภาวะที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยของมันเนี่ยเคลื่อนไหวเปลี่ยนไป พอเหตุของมันเปลี่ยนนะ ตัวมันทนอยู่ไม่ได้นะ ถูกบีบคั้น ทนอยู่ไม่ได้ในภาวะอันใดอันหนึ่ง เรียกว่า ทุกขัง อนัตตา ก็คือ มันจะเกิดขึ้น มันจะตั้งอยู่ หรือมันจะดับไป เป็นไปเพราะเหตุ ไม่ใช่เพราะเราสั่ง เราบังคับไม่ได้ อยู่นอกเหนือการบังคับ นี่เรียกได้ว่าอนัตตา ถ้าสามารถเห็นได้ว่า กายนี้ใจนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเพียงมุมใดมุมหนึ่ง ไม่ต้องเห็นทั้งสามอย่าง เห็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตก็สามารถปล่อยวาง ความยึดถือกายยึดถือใจได้ในที่สุด แต่ในเบื้องต้นก็จะเห็นก่อนว่า กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ถึงจะเห็นว่าไม่ใช่เราแต่ก็ยังไม่ปล่อยวาง พระโสดาบันเนี่ย ท่านเห็นความจริงแล้วว่าตัวเราไม่มี กายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา กายนี้เป็นวัตถุธาตุที่ยืมโลกมาใช้ จิตใจก็เป็นธาตุเรียกว่าธาตุรู้ ธาตุรู้เนี่ยเกิดดับๆ สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่ท่านยังยึดถืออยู่นะ ยังเห็นว่า กายนี้ใจนี้ยังนำความดีงามมาให้ได้ ยังรักมันอยู่ ยังนำความสุขมาให้ได้ ต้องเจริญสติต่อไปอีกนะ รู้กายรู้ใจๆ เรื่อยไป ถึงวันหนึ่ง ถึงจะเห็นความจริงว่า กายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ ทุกข์เพราะไม่เที่ยง ทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้ ถูกบีบคั้น ทุกข์เพราะว่าไม่ใช่ตัวเรา บังคับมันไม่ได้ อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับ ถ้าเห็นอย่างนี้นะก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันเนี่ยไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่รู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกายในใจ แต่ยังยึดถืออยู่ ทำไมไม่เห็นว่าเป็นเรา แล้วยังยึดถือได้ คล้ายๆ คนที่ยืมของคนอื่นเค้ามาใช้นะ สมมุติหลวงพ่อไปยืมรถยนต์ ของคุณอนุรุธมาใช้ซักคันนึง โอ้...รถคันนี้มันโก้จังนะ เรามีแต่รถกระบะ นี่รถเค้าสวย ยืมมาใช้นาน จนหลงไปว่าเป็นรถของเราเอง ยืมเค้ามานาน จนเราคิดว่าเป็นของเราเอง เหมือนกายนี้ใจนี้ เรายืมของโลกมาใช้ ยืมมานานจนสำคัญผิดว่าเป็นของเราเอง วันหนึ่งเป็นพระโสดาบัน รู้แล้วว่ากายนี้ใจนี้เป็นของโลกนะไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราหรอก ก็จะคล้ายๆคนขี้งกอ่ะ รู้แล้วว่ารถคันนี้ไมใช่ของเรานะ แต่มันดีนะ เอาไว้ก่อน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันยังมีอารมณ์ขี้งกอยู่ ยังไม่ปล่อยวางกายวางใจจริงนะ ต้องมาเรียนรู้กายรู้ใจให้หนักเข้าอีก ดูไปเรื่อย วันหนึ่งเกิดปัญญาขึ้นมา ก็เห็นมันเป็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ไม่ใช่ของดีของวิเศษอีกต่อไป ก็ยอมคืนเจ้าของ คืนให้โลกไป นี่ ฮ นกฮูกนะ มีหลัง ฮ นกฮูกอีก after ฮ นกฮูก คือภาวะซึ่งมันสิ้นทุกข์ไปแล้วนะ จิตใจซึ่งมันสิ้นทุกข์ไปแล้วนะ มันจะบอกว่ามีความสุขมันก็ไม่เหมือนนะ มันไม่รู้จะเทียบกับอะไร มันสุขเพราะไม่มีอะไรเสียดแทง เป็นสุขเพราะเป็นอิสระ จิตใจปลอดโปร่งโล่งเบาอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่นนะ มันมีแต่ความสุขอย่างงั้น สุขเพราะพ้นความปรุงแต่ง สุขเพราะพ้นกิเลส สุขเพราะไม่มีภาระที่จะต้องไปยึดถืออะไร ใจมันโล่ง
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
สภาพของเรา#พระโสดาบันคือท่านผู้เห็นความจริงว่าตัวเราไม่มี #เรียกว่าละสกายทิฐิได้ท่านเห็นว่าตัวเราไม่มีนะกายนี้ไม่ใช่เราใจนี้ไม่ใช่เรา ในกายนี้ ในใจนี้ ไม่มีตัวเรา กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวเรานอกเหนือจากกายจากใจนี้อีก #สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเราอยู่ตลอดเวลาก็คือกายนี้ใจนี้เท่านั้นแหละ รูปนาม ขันธ์๕ อายตนะ๖ ธาตุ๑๘ แล้วแต่จะเรียกนะ รวมความง่ายๆ ก็คือ รูปกับนาม คือกายกับใจนี่เอง เราเห็นว่ามันเป็นตัวเรา ถ้าเมื่อไหร่เราสามารถพัฒนาจิตใจ จนเราเห็นความจริงนะว่าตัวเราไม่มีหรอก กายนี้ไม่ใช่เราใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกายในใจนี้ ไม่มีเรานอกเหนือกายนอกเหนือใจนี้ เราก็จะได้เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อการตรัสรู้ในวันข้างหน้า วันหนึ่งก็เป็นพระอรหันต์ เหมือนคนตกลงในกระแสน้ำนะ น้ำพัดพาไปนะ วันหนึ่งไปถึงทะเล ทำยังไงเราถึงจะสามารถเห็นได้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรานะ พระพุทธเจ้าท่านเคยสอนบอกว่า คนในศาสนาอื่นเค้าสามารถเห็นได้ว่า กายไม่ใช่เรา มีแต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นนะ ถึงจะพัฒนาจิตใจเรา จนเราเห็นความจริงว่า จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา อย่างคนที่เรียนกับหลวงพ่อนะ ซักเดือนสองเดือนเนี่ย สามารถเห็นได้แล้วว่ากายไม่ใช่เรา แต่ส่วนมากก็ยังเห็นว่าจิตเป็นเราอยู่ ถ้าวันใดเห็นว่าจิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกาย ไม่มีเราในจิต ก็ได้ธรรมะ เป็นปลอดภัย ไม่ไปอบายละ ชีวิตมีความสุข มีความสงบ มีความมั่นคง กิเลสหายไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ทำยังไง เราจะสามารถเห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรานะ เรามาดูของจริง การดูของจริงของกายของใจเรียกว่า “การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน” การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ต้องเห็นความจริงของกายของใจ ไม่ใช่เห็นกายเห็นใจนะ พวกเราอย่าตื้น บางคนตื้นเกินไป คิดว่าแค่รู้กาย แค่รู้ใจก็คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน....ไม่ใช่ วิปัสสนากรรมฐานต้องเห็นความจริงของกายของใจ ความจริงของกายของใจคือไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังก็คือสิ่งซึ่งมันเคยมีแล้วมันไม่มี สิ่งซึ่งเคยไม่มีมันกลับมีขึ้นมานี่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง คือ มันทนอยู่ไม่ได้นะ มันถูกสภาวะที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยของมันเนี่ยเคลื่อนไหวเปลี่ยนไป พอเหตุของมันเปลี่ยนนะ ตัวมันทนอยู่ไม่ได้นะ ถูกบีบคั้น ทนอยู่ไม่ได้ในภาวะอันใดอันหนึ่ง เรียกว่า ทุกขัง อนัตตา ก็คือ มันจะเกิดขึ้น มันจะตั้งอยู่ หรือมันจะดับไป เป็นไปเพราะเหตุ ไม่ใช่เพราะเราสั่ง เราบังคับไม่ได้ อยู่นอกเหนือการบังคับ นี่เรียกได้ว่าอนัตตา ถ้าสามารถเห็นได้ว่า กายนี้ใจนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเพียงมุมใดมุมหนึ่ง ไม่ต้องเห็นทั้งสามอย่าง เห็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตก็สามารถปล่อยวาง ความยึดถือกายยึดถือใจได้ในที่สุด แต่ในเบื้องต้นก็จะเห็นก่อนว่า กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ถึงจะเห็นว่าไม่ใช่เราแต่ก็ยังไม่ปล่อยวาง พระโสดาบันเนี่ย ท่านเห็นความจริงแล้วว่าตัวเราไม่มี กายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา กายนี้เป็นวัตถุธาตุที่ยืมโลกมาใช้ จิตใจก็เป็นธาตุเรียกว่าธาตุรู้ ธาตุรู้เนี่ยเกิดดับๆ สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่ท่านยังยึดถืออยู่นะ ยังเห็นว่า กายนี้ใจนี้ยังนำความดีงามมาให้ได้ ยังรักมันอยู่ ยังนำความสุขมาให้ได้ ต้องเจริญสติต่อไปอีกนะ รู้กายรู้ใจๆ เรื่อยไป ถึงวันหนึ่ง ถึงจะเห็นความจริงว่า กายนี้ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ ทุกข์เพราะไม่เที่ยง ทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้ ถูกบีบคั้น ทุกข์เพราะว่าไม่ใช่ตัวเรา บังคับมันไม่ได้ อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับ ถ้าเห็นอย่างนี้นะก็จะปล่อยวาง ปล่อยวางเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบันเนี่ยไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่รู้ว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในกายในใจ แต่ยังยึดถืออยู่ ทำไมไม่เห็นว่าเป็นเรา แล้วยังยึดถือได้ คล้ายๆ คนที่ยืมของคนอื่นเค้ามาใช้นะ สมมุติหลวงพ่อไปยืมรถยนต์ ของคุณอนุรุธมาใช้ซักคันนึง โอ้...รถคันนี้มันโก้จังนะ เรามีแต่รถกระบะ นี่รถเค้าสวย ยืมมาใช้นาน จนหลงไปว่าเป็นรถของเราเอง ยืมเค้ามานาน จนเราคิดว่าเป็นของเราเอง เหมือนกายนี้ใจนี้ เรายืมของโลกมาใช้ ยืมมานานจนสำคัญผิดว่าเป็นของเราเอง วันหนึ่งเป็นพระโสดาบัน รู้แล้วว่ากายนี้ใจนี้เป็นของโลกนะไม่ใช่ของเรา ไม่มีเราหรอก ก็จะคล้ายๆคนขี้งกอ่ะ รู้แล้วว่ารถคันนี้ไมใช่ของเรานะ แต่มันดีนะ เอาไว้ก่อน เพราะฉะนั้นพระโสดาบันยังมีอารมณ์ขี้งกอยู่ ยังไม่ปล่อยวางกายวางใจจริงนะ ต้องมาเรียนรู้กายรู้ใจให้หนักเข้าอีก ดูไปเรื่อย วันหนึ่งเกิดปัญญาขึ้นมา ก็เห็นมันเป็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ไม่ใช่ของดีของวิเศษอีกต่อไป ก็ยอมคืนเจ้าของ คืนให้โลกไป นี่ ฮ นกฮูกนะ มีหลัง ฮ นกฮูกอีก after ฮ นกฮูก คือภาวะซึ่งมันสิ้นทุกข์ไปแล้วนะ จิตใจซึ่งมันสิ้นทุกข์ไปแล้วนะ มันจะบอกว่ามีความสุขมันก็ไม่เหมือนนะ มันไม่รู้จะเทียบกับอะไร มันสุขเพราะไม่มีอะไรเสียดแทง เป็นสุขเพราะเป็นอิสระ จิตใจปลอดโปร่งโล่งเบาอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่นนะ มันมีแต่ความสุขอย่างงั้น สุขเพราะพ้นความปรุงแต่ง สุขเพราะพ้นกิเลส สุขเพราะไม่มีภาระที่จะต้องไปยึดถืออะไร ใจมันโล่ง
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เพลงสรรเสริญพระพุทธเจ้า อินเดียBUDDHAM SARANAM GACCHÃMI DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI GHABADAE JAB MAN-ANAMOL HRIDYA HO UTHE ḌAṆVAḌOL. GHABADAE JAB MAN-ANAMOL AUR HRIDYA UTHE HO ḌAṆVAḌOL. HO TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI JAB AṢANTIKÃ RAG UTHE LÃLLAHUKÃ̃ PHAG UTHE. HINSÃ KI TO ÃG UTHE MÃNAV MEṆ PAṢU JAG̣ UTHE. UPARASE MUSAKÃ TE NAN BHITÃR DAHAKA RAHE TO HO. HO TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI. (BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI) JAB DUNIYÃN SE PYAR UTHE. JAB DUNIYÃN SE PYAR UTHE . NAPHARAT KĨ DĨVÃR UTHE. MÃN KI MAMATÃ PAR USKĨ BEṬEKI TALAVÃR UTHE. DHARATĨ KĨ KÃYÃKÃPE AMBAR DAGMAG UTHE DOL . HO TAB MÃNAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HĨ TAB MANAV TO MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI. SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI. DŨR KIYÃ JISANE JANAJANAKE VYÃKULMANAKÃ ANDHIYÃRÃ JISAKI EKA KIRNAKO CHŨKAR CAMAK UTHÃ YE JAGA SÃRÃ.. DĨPA SATYAKÃ SADÃ JALE. DAYÃ AHIṂSA SADÃ PALE. SUKHAṢANTI KĨ CHAYAM MEṆ JAN GAṆA MANAKÃ PREM PALE. PHÃRAT KE BHAGAVAN BUDDHAKÃ GŨÑJE GHARGHAR MANTRA AMOL. HE MÃNAV NITA MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. HE MÃNAV NITA MUKHASE BOL. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. BUDDHAM SARANAM GACCHÃMI. DHAMMAM SARANAM GACCHÃMI. SANGG̣HAM SARANAM GACCHÃMI.
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
บ้านเกิดเมืองนอน - คลื่นลูกใหม่สุนทราภรณ์บ้านเกิดเมืองนอน คำร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน บ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่หมู่เหล่า พวกเราล้วนพงศ์เผ่าศิวิไลซ์ เพราะฉะนั้นควรจะยินดี เปรมปรีดิ์ดีใจเรียกตนว่าไทย แดนดินผืนใหญ่มิใช่ทาษเขา ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่ ได้ไว้พลีเลือดเนื้อแลกเอา รบ รบ รบ ไม่หวั่นใคร มอบความเป็นไทยพวกเรา แต่ครั้งนานกาลเก่า ชาติเราเขาเรียกชาติไทย บ้านเมืองควรประเทืองไว้ดั่งแต่ก่อน แน่นอนเนื้อและเลือดพลีไป เพราะฉะนั้นเราควรเปรมปรีดิ์ มีความภูมิใจแดนดินถิ่นไทย รวบรวมไว้ได้แสนจะยากเข็ญ ยากแค้นเคยกู้แดนไว้อย่างบากบัน ก่อนนั้นเคยแตกฉานซ่านเซ็น แม้กระนั้นยังร่วมใจ รวบรวมชาวไทยให้ร่มเย็น บัดนี้ไทยดีเด่น ร่มเย็นผาสุกเรื่อยมา อยู่กินบนแผ่นดินท้องถิ่นกว้างใหญ่ ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา ทุก ๆ เช้าเราดูธงไทย ใจจงปรีดาว่าไทยอยู่มา ด้วยความผาสุกถาวรสดใส บัดนี้ไทยเจริญวิสุทธิ์ผุดผ่อง พี่น้องจงแซ่ร้องชาติไทย รักษาไว้ให้มั่นคง เทอญธงไตรรงค์ให้เด่นไกล ชาติเชื้อเรายิ่งใหญ่ ชาติไทยบ้านเกิดเมืองนอน
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เพลงสรรเสริญพระพุทธเจ้า อินเดียสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ความสุขเกิดขึ้นจิตไม่หลงระเริง ความทุกข์เกิดขึ้นจิตไม่กลุ้มใจ จิตมันจะเป็นกลาง ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไปรู้เข้า จิตที่มันเป็นกลางต่อทุกสิ่งทุกอย่าง นี่นะ ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ นี่เป็นคือประตูแห่งการบรรลุมรรคผล พอมันเป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะไม่ปรุงแต่งต่อ อย่างถ้ามันไม่เป็นกลาง มันจะปรุงแต่งต่อ เช่น ความโกรธเกิดขึ้น อยากให้หาย ก็ต้องหาทางทำให้หาย เห็นมั้ยปรุงแต่งต่อล่ะ ความสุขเกิดขึ้นอยากให้อยู่นานๆ ต้องหาทางรักษา นี่ปรุงแต่งต่อ มีการทำงาน แต่ถ้ามันเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับๆ ไม่ปรุงแต่งต่อ จิตจะพ้นจากความปรุงแต่ง ตามรู้ตามดูจนมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาแก่รอบ จิตใจยอมรับความจริง ยอมรับไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ ถึงจุดนี้เนี่ย มันจะเป็นรอยแยก พวกที่หวังพุทธภูมินะ ก็มีโอกาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พยากรณ์จากหมอดูนะ ต้องพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า พวกที่ไม่ได้หวังจะเป็นพระโพธิสัตว์ แต่หวังความพ้นทุกข์นะ จิตมีโอกาสที่จะเกิดมรรคผลได้ เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้น จิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะ จิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่ง พวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่ อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลย ขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย กระทั่งสติ พวกนี้หลงไปล่ะ คิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลย นี่พวกอุจเฉททิฐินะ นิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ สภาวะของนิพพานคือสันติ คือความสงบนั่นเอง สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากอะไร สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากอะไร สงบจากการแบกหามขันธ์นะ ดังนั้นเราภาวนานะ เนี่ยจาก ฮ นกฮูก ไปหา ก ไก่ จาก ก ไก่ กลับมา ฮ นกฮูกล่ะ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี Ashokan Pillar, Vaishaliถ้าเมื่อไรเรารู้ทันว่าจิตไหลไป หลงไป เมื่อนั้น จิตผู้รู้จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เราทำจิตผู้รู้ขึ้นมาไม่ได้ แต่จิตผู้รู้เกิดขึ้นเอง เมื่อเรามีสติรู้ทันจิตผู้หลง หรือจิตผู้ไหล หรือจิตผู้ฟุ้งซ่านไปทางทวารทั้งหก ทันทีที่สติรู้ ว่าจิตเคลื่อนไป คือจิตฟุ้งซ่านไป มีสติรู้ทันปั๊บ ความฟุ้งซ่านดับทันที เพราะว่ากิเลส คือความฟุ้งซ่าน จะไม่เกิดร่วมกับสติ เพราะอย่างนั้น เราฝึกสติ ไม่ได้ฝึกให้ไม่มีกิเลส แต่ว่ามีกิเลสแล้วรู้ๆ แล้วสติจะเกิดเอง พอสติเกิด กิเลสดับ ฉะนั้น การดูจิต จะไม่มีกิเลสให้ละ จำไว้ ไม่ได้ฝึกเพื่อละกิเลส เพราะไม่มีกิเลสให้ละ ทันทีที่สติเกิด กิเลสดับไปแล้ว ไม่เห็นต้องละ ค่อยๆ ฝึกไป สุดท้ายมรรคผลก็เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเต็ม ปัญญาคือเห็นไตรลักษณ์ มีสติรู้เท่าทัน รูปธรรม นามธรรมที่กำลังปรากฏ มีสมาธิ คือมีใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว ฝึกไปเรื่อย สุดท้ายมรรคผลก็เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอดทน
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ต้องการแค่นี้เอง#ศาสนาพุทธตอบโจทย์อยู่ข้อเดียวไม่ตอบว่าใครสร้างโลก#ไม่ตอบว่ามนุษย์มีกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษจริงหรือไม่จริงไม่ตอบเรื่องอื่นๆเลย #ศาสนาพุทธตอบอยู่เรื่องเดียวว่าทำยังไงจะไม่ทุกข์ต้องการแค่นี้เอง มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์มันดีไหมถึงเปลือกนอกจะนับถือศาสนาอื่น แต่ถ้ารู้ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่ทุกข์หรอกคำสอนของพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธเป็นคำตอบโดยตรงเลยว่าเรามีวิธีปฏิบัติยังไงเราจึงจะไม่ทุกข์เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่ต้องเชื่อ ... #พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้าไม่สามารถบันดาลอะไรให้เราได้สักอย่างเดียว แต่ท่านสอนวิธีที่ทำให้เราหายโง่คนมีความทุกข์เพราะโง่ไม่เพราะอย่างอื่นเลยวิธีที่จะไม่โง่ก็คือเห็นโลกอย่างที่โลกเป็น#โลกคือรูปนามกายใจ เห็นกายอย่างที่กายเป็นเห็นใจอย่างที่ใจเป็นแล้วหายโง่#ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ถ้าถึงวันหนึ่งจะชอบหรือไม่ชอบจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามความทุกข์ขยี้ร่างกายนี้จนแตกสลายลงไปนี่คือความจริงในร่างกาย #ถ้าเรามีสติปัญญาเรียนรู้ความจริงของร่างกายให้รู้สึกเรื่อยๆดูของจริงเรื่อยๆไม่ไปคิดไปปรุงไปแต่งอะไรเราก็จะเห็นเลยร่างกายนี้เต็มไปด้วยก้อนทุกข์แท้ๆเลย @ุกข์มากบางเวลาก็ทุกข์น้อยและความทุกข์ วิ่งตามตลอดเวลาสุดท้ายเราหนีไม่ทันสุดท้ายมันจะขยี้เราตายเป็นอย่างนี้ทุกคนเลย ถ้าใจเราเห็นความจริงอย่างนี้ได้ มันก็จะรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ได้น่ารักน่าหวงแหน ความยึดถือในร่างกายนี้ก็ลดลงๆ ถึงจุดหนึ่งไม่ยึดถือในกาย เมื่อเราไม่ยึดถือร่างกาย ร่างกายจะแก่เราจะไม่เดือดร้อน ใจเราจะไม่เดือดร้อน ร่างกายจะเจ็บก็เจ็บอยู่ที่ร่างกาย จิตใจเราไม่เดือดร้อนด้วย เพราะจิตไม่ได้เข้าไปจับ ร่างกายจะตายก็เรื่องของร่างกาย จิตไม่เดือดร้อนด้วย จิตใจไม่ได้ยึดถือร่างกาย “เรายึดถือสิ่งใดมากเราจะทุกข์เพราะสิ่งนั้นมาก” อย่างรักใครมากสักคนหนึ่ง เราก็จะทุกข์เพราะคนนี้เยอะ คนที่เราเป็นกลางๆ เราไม่ได้รักไม่ได้เกลียดมาก ก็ทำให้เราทุกข์ไม่ค่อยได้หรอก คนที่เรารักมากๆ มาทำให้เราทุกข์ได้เยอะเลย งั้น #สิ่งที่เรารักมากก็คือร่างกายกับใจของเราเองรักที่สุดเลยนำความทุกข์มาให้เราเยอะที่สุดถ้าเมื่อไรเกิดหมดความรักใคร่ยึดถือในกายในใจมันจะนำความทุกข์มาสู่ใจเราไม่ได้ความทุกข์จะจบลงที่ร่างกายแค่นั้นเองเป็นความทุกข์ตามธรรมาชาติตามธรรมดาแต่ใจเราจะไม่เป็นทุกข์ด้วย ธรรมะขั้นแรก จะเห็นว่าไม่มีตัวเรา ตัวเราหายไป พอมันเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้ว อาสวะกิเลส ที่ห่อหุ้มจิตอยู่ จิตของเราจะถูก อาสวะห่อหุ้มอยู่ อาสวะย้อมอยู่ แทรกย้อมอยู่ ตรงที่ขณะแห่งอริยมรรคเกิดขึ้น อริยมรรคจะแหวก อาสวะอันนี้ขาดออกจากกัน อาสวะนี้ออกแล้วจิตจะเข้าสัมผัสพระนิพพาน สองสามขณะ พวกที่มีบารมีแก่กล้าสัมผัสพระนิพพานสามขณะ พวกที่ไม่แก่กล้าสัมผัสสองขณะไม่เหมือนกัน บุญบารมียังไม่เท่ากัน โสดาบันไม่เท่ากันเลย โสดาบางคนเกิดอีกชาติเดียวก็จะจบละ บางคนอีกสามชาติจะจบไม่เกิดอีก อีกบางคนเจ็ดชาติถึงจะไม่เกิด กำลังมันไม่เท่ากัน แต่ว่าล้างความเห็นผิดได้เท่ากันว่าตัวตนไม่มี พอถอยออกจากสภาวะนี้ จิตจะกลับเข้ามาอยู่ยังความเป็นมนุษย์ปกติอย่างนี้แหละ แล้วมันจะทวนเข้าไปดูจิต มันจะทวนอัตโนมัติเข้าไปดู มันจะพบว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกต่อไป ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอีกต่อไป ที่ไหนๆ ก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไป จะกลวงๆ ว่างจากความเป็นตัวตนไปหมด อย่างคำว่าจิตว่าง จิตว่างไม่ใช่ว่างเปล่า ว่างเปล่านั้นมันหมายถึงว่า ไม่มีอะไรเลย มันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทาง คำว่าว่างว่าง ว่างจากความเป็นตัวเป็นตน สภาวะนั้นมีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เพราะงั้นจะมีความรู้สึกว่ามันกลวงๆ มันว่างๆ ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มีการกระทำ ยังมีการส่งกระแสจากความไม่มีตัวไม่มีตน จิตที่ไม่ใช่ตัวเรา และยังส่งกระแสไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปยึดอารมณ์ได้อีก เรียกว่ามีการกระทำแต่ไม่มีผู้กระทำ จะรู้ชัดเลยว่าการกระทำมีอยู่แต่ไม่มีผู้กระทำ จะเห็นอย่างนี้ จนวันที่เป็นพระอรหันต์ผู้กระทำก็ไม่มี การกระทำก็ไม่มี มีแต่กิริยา
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
หลักในการฝึกจิตใจ :: หลวงพ่อปราโมทย์ 17 มี.ค. 2562 (ไฟล์ 620317A ซีดี 81)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
งานหลัก คือ วิปัสสนา งานทำสมถะ เป็นงานสนับสนุน ทำให้มีกำลังที่จะทำวิปัสสนา วิปัสสนา ทำเพื่อให้เกิดความรู้ถูก ความเข้าใจถูก ในร่างกายจิตใจว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้ารู้ถูก เข้าใจถูกแล้ว จิตจะเบื่อหน่าย คลายความยึดถือ แล้วจิตก็จะหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นจากรูปธรรม นามธรรม หลุดพ้นจากความยึดถือในกาย ในใจแล้ว ความทุกข์จะไม่มาสู่ใจเราอีก เพราะความทุกข์คือกาย ความทุกข์คือใจ
ศาสนาพุทธตอบโจทย์อยู่ข้อเดียว ไม่ตอบว่าใครสร้างโลก ไม่ตอบว่ามนุษย์มีกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จริงหรือไม่จริง ไม่ตอบเรื่องอื่นๆ เลย ศาสนาพุทธตอบอยู่เรื่องเดียว ว่าทำยังไงจะไม่ทุกข์ ต้องการแค่นี้เอง มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์ มันดีไหม ถึงเปลือกนอกจะนับถือศาสนาอื่น แต่ถ้ารู้ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าแล้ว มันไม่ทุกข์หรอก คำสอนของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธเป็นคำตอบโดยตรงเลยว่า เรามีวิธีปฏิบัติยังไง เราจึงจะไม่ทุกข์ เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ต้องเชื่อ ... พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้า ไม่สามารถบันดาลอะไรให้เราได้สักอย่างเดียว แต่ท่านสอนวิธีที่ทำให้เราหายโง่ คนมีความทุกข์เพราะโง่ ไม่เพราะอย่างอื่นเลย วิธีที่จะไม่โง่ก็คือ เห็นโลกอย่างที่โลกเป็น เมื่อเช้าบอกแล้ว โลกคือ รูปนาม กายใจ เห็นกายอย่างที่กายเป็น เห็นใจอย่างที่ใจเป็น แล้วหายโง่ทำอย่างไรจะไม่ทุกข์ :: หลวงพ่อปราโมทย์ 9 ก.พ. 2562 (ไฟล์ 620209B ซีดี 80)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้นพระองค์บอกว่าข้าพระพุทธเจ้าเป็นพระอนาคามี แต่ว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านทำไมยังมีอยู่ แต่ว่าฟุ้งซ่านในด้านกุศล คือเราไม่หยุดอยู่ตรงนั้น เท่านี้มันก็หมดไป ตัวที่ถือตัวถือตนก็ดี อารมณ์ฟุ้งซ่านก็ดีไม่ต้องตัด คือไปตัดตัวปลายคืออวิชชาเลยดีกว่า ตัดอวิชชามันตัดกันตรงไหนล่ะ ก็จับสักกายทิฏฐิตัวนั้นตัวเดียว คือเห็นว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่ายกาย ร่างกายมีในเรา ตอนนี้นักเจริญวิปัสสนาหรืออาจารย์ทั้งหลายจะเห็นว่าอาตมาพูดย่อเกินไป เขาใช้คำว่าขันธ์ ๕ แต่อาตมาไม่ชอบ เวลาปฏิบัติมาจริงๆ ก็ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าร่างกายก็คือ ขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ ก็คือร่างกาย และเราก็พูดกันจนชินแล้วว่าร่างกาย จะไปนั่งเรียกว่าขันธ์ ๕ ให้มันยุ่งเพื่อประโยชน์อะไร เรามานั่งตัดนั่งคิดพิจารณาดูว่า ร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้ว ความปรารถนาคือฉันทะ ความพอใจ ในการที่เราจะยึดถือความเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม ทำไมจึงจะต้องมีสำหรับเราอีก เพราะว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ยังอยู่ในเกณฑ์ของความเป็นทุกข์ หรือจะมีคือว่ามนุษย์ไม่ดี ร่างกายที่ประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ ไม่ดี มันมีความทุกข์เราไม่ต้องการ เราต้องการกายทิพย์ คือกายของเทวดาหรือกายพรหม นี่ถ้าหลงอยู่ในกายเทวดาหรือกายพรหมก็ชื่อว่ายังหลงอยู่ในรูปฌานหรืออรูปฌาน
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ชีวิตนี้แตกดับง่าย :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๓๐ ก.ย. ๒๕๖๑ (ไฟล์ 610930B ซีดี ๗๘)พระพุทธเจ้าท่านเทียบร่างกายเรานี้เหมือนหม้อดิน แตกง่าย รักษายาก ชีวิตนี้แตกดับง่าย รักษาไว้ยาก อะไรกระทบนิดเดียวก็ตาย ตายง่ายๆ เลย บางคนกินข้าว สำลักข้าวก็ตาย อย่างพ่อของคนนี้ เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ไปรักษาให้คีโมครบหมดแล้ว หายจากมะเร็ง กลับบ้านไปติดเชื้อ ก็ตาย ไม่ได้ตายเพราะโรคมะเร็ง ฉะนั้น ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คนประมาทก็คิดว่าตัวเองจะอยู่อีกนาน ไม่มีกำหนด ชอบคิดว่า คนเราต้องตายตามลำดับ คนแก่กว่าต้องตายก่อน ไม่จริง พวกที่อายุน้อยกว่าหลวงพ่อ ตายไปเยอะแล้ว อย่างในห้องนี้ เราไม่รู้ว่าใครคือคนต่อไป เวลาความตายมาถึง ต่อรองไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่สามารถต่อรองกับมัจจุราช อยู่ที่เราจะพร้อมแค่ไหน ถ้าเราพร้อม จะอยู่หรือจะตาย ชีวิตก็มีคุณค่า อย่างโยมคนนี้ อายุเยอะ บอกว่า แสวงหาธรรมะมาตั้งนาน อายุมากแล้วถึงมาเจอธรรมะ มีสติขึ้นมา อันนี้ไม่ถือว่าช้า ชีวิตคุ้มค่า พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเรามีชีวิตด้วยความมีสติ แม้เพียงราตรีเดียว คืนเดียวก็พึงชม น่าชม มีสติราตรีเดียว เป็นสำนวนแขก หมายถึงวันหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะวันหนึ่งหรอก มีชีวิตวันเดียวด้วยความมีสติ มีคุณค่ามากกว่ามีชีวิตร้อยปี
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
เรากำลังตายอยู่ตลอดเวลา :: หลวงพ่อปราโมทย์ 10 ก.พ. 2562 (ไฟล์ 620210A ซี...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
คอยดูสภาวะต่าง ๆ เห็นร่างกายหายใจออก ชีวิตนี้ก็ตายไปส่วนหนึ่ง หายใจเข้าสักพัก การหายใจเข้าก็ตายไป เกิดชีวิตที่หายใจออก แล้วก็เกิดชีวิตที่หายใจเข้า ชีวิตในภาพรวมนั้น สั้นลงตลอดเวลา ลดลง ๆ ตลอดเวลา ไม่ใช่ของที่ควรจะประมาท ไม่ใช่ของที่ควรจะเพลิดเพลิน หลงโลก เรากำลังตายอยู่ตลอดเวลา อายุสั้นลงทุกลมหายใจเข้าออกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะประมาท ควรจะมายกระดับใจของเราให้มันเป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมา ยิ่งให้เกิดปัญญาได้พ้นทุกข์ได้ดีที่สุด
ทำจิตให้ผ่องแผ้ว :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๐ พ.ย. ๒๕๖๑ (ไฟล์ 611110A ซีดี ๗๙)
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
การปฏิบัติธรรม เป็นการยกระดับใจของเราขึ้นมา เราจะต้องลดละบาปอกุศลทั้งหลาย ความชั่วไม่ทำ แล้วก็สร้างคุณงามความดีไป ความดีของเราก็มีทาน มีศีล มีสมถะ วิปัสสนา สมาธิ ปัญญา ความชั่วต้องละ เราสำรวจตัวเอง อะไรที่เรายังไม่ดี เลิกซะ ทุกคนรู้ด้วยตัวเองได้ ถ้าเรากะว่า เราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ แต่ความชั่วเราไม่ลดไม่ละ คิดว่าวันหนึ่งมันจะหมดไป การปฏิบัติของเราไม่ได้ผล พระพุทธเจ้าถึงสอนว่าให้ละบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้ผ่องแผ้ว เป้าหมายปลายทางก็คือ จิตเราต้องผ่องแผ้ว ผ่องแผ้ว ก็คือไม่มีกิเลส จิตเราจะไม่มีกิเลสได้ เราก็ต้องงดการทำบาปทั้งปวง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องฝึกต้องทำ -- พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ไฟล์ 611110A ซีดีแผ่นที่ ๗๙ ติดตามข่าวสาร อ่านพระธรรมคำสอน และดาวน์โหลดไฟล์เสียง เว็บไซต์ทางการ: https://dhamma.com https://fb.com/dhammateachings https://instagram.com/dhammadotcom Line : @dhammadotcom
ทางบรรลุธรรมจิตจะกลับเข้ามาอยู่ยังความเป็นมนุษย์ปกติอย่างนี้แหละ แล้วมันจะทวนเข้าไปดูจิต มันจะทวนอัตโนมัติเข้าไปดู มันจะพบว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกต่อไป ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอีกต่อไป ที่ไหนๆ ก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไป จะกลวงๆ ว่างจากความเป็นตัวตนไปหมด อย่างคำว่าจิตว่าง จิตว่างไม่ใช่ว่างเปล่า ว่างเปล่านั้นมันหมายถึงว่า ไม่มีอะไรเลย มันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทาง คำว่าว่างว่าง ว่างจากความเป็นตัวเป็นตน สภาวะนั้นมีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เพราะงั้นจะมีความรู้สึกว่ามันกลวงๆ มันว่างๆ ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มีการกระทำ ยังมีการส่งกระแสจากความไม่มีตัวไม่มีตน จิตที่ไม่ใช่ตัวเรา และยังส่งกระแสไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปยึดอารมณ์ได้อีก เรียกว่ามีการกระทำแต่ไม่มีผู้กระทำ จะรู้ชัดเลยว่าการกระทำมีอยู่แต่ไม่มีผู้กระทำ จะเห็นอย่างนี้ #หมดความปรุงแต่งของจิตจิตจะค่อยๆปรุงน้อยลงๆถึงจุดหนึ่งหยุดปั๊บลงไปตรงหยุดปั๊บลงไปนี่จิตจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิโดยอัตโนมัติเลย เมื่อรวมเข้าอัปปนาสมาธิแล้ว ตรงนี้จะไม่คิดไม่นึกอะไรแล้ว จะเห็นสภาวธรรม (รูปธรรม นามธรรม) เกิดดับขึ้นภายใน ๒-๓ ขณะ ใจนี้สักว่ารู้สักว่าเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีกระทั่งความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ สักนิดเดียวเลย ถัดจากนั้น จิตจะวางการรู้สภาวะทบทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้พอทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้แล้วอริยมรรคจะแหวกอาสวะกิเลสทั้งหลายหรือสังโยชน์ทั้งหลายอาสวะที่ห่อหุ้มจิตอยู่ สังโยชน์ที่แทรกอยู่ในจิตจะถูกทำลายออกไป ตรงกระบวนการทำลายล้างนี่ ๑ ขณะเท่านั้น พอขาดสะบั้นลงแล้ว ตรงนี้เราจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะบ้าง ๓ ขณะบ้าง ตรงนี้เป็นผลแล้ว เป็นโลกุตรผลนะ ตรงที่เกิดอริยมรรคเรียกว่าโลกุตตรเหตุ มรรคเป็นเหตุ ผลเป็นผล ตรงที่เห็นเป็นผลนี่จะเห็นไม่เท่ากัน พวกที่สติปัญญาแก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๓ ครั้ง ๓ ขณะ พวกที่ยังไม่แก่กล้าจะเห็นนิพพาน ๒ ขณะ ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมากลับสู่โลกภายนอกนี้ พอกลับมาสู่โลกภายนอก มันจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่ากิเลสตัวไหนหายไปแล้ว กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ รู้ว่ายังมีงานต้องทำอีก แต่ถ้าตัดครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์นะ มันทวนวับเข้าไป มันจะเห็นนิพพานชัดเจนเลย ไม่มีกิเลสอะไรให้ต้องลดละอีกแล้ว มันไม่มีกิเลสเหลือ จะเห็นนิพพานล้วนๆ เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพ่อแม่ เราต้องรู้กายรู้ใจของเราไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราจะได้มรดกของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้หอบเอานิพพานแล้วหายไปไหน นิพพานยังอยู่เต็มโลกเต็มบริบูรณ์อยู่นี่แหละ คนมีบุญวาสนามีปัญญาแก่รอบ เจริญวิปัสสนาแก่รอบแล้วก็จะได้รับ นี่รางวัลสูงสุดของชีวิตอยู่ตรงนี้ ชีวิตที่เหลือเป็นชีวิตที่อิสระโปร่งเบา ปราศจากความอยาก ความยึดและความดิ้นรนปรุงแต่ง ไม่มีความทุกข์หรือสิ่งใดครอบงำจิตได้อีกแล้ว
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ