บทความ
กำลังแสดงโพสต์จาก มิถุนายน, 2019
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
https://www.youtube.com/watch?v=Zzwq9Ashc1U #การควบคุมมอเตอร์สามเฟส#การปรับรอบมอเตอร์สามเฟส#การทำตัวควบคุมมอเตอร์สามเฟส
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
#ธรรมะขั้นแรกจะเห็นว่าไม่มีตัวเราตัวเราหายไปพอมันเข้ามาถึงจิตถึงใจแล้วอาสวะกิเลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ #จิตของเราจะถูกอาสวะห่อหุ้มอยู่อาสวะย้อมอยู่แทรกย้อมอยู่ตรงที่ขณะแห่งอริยมรรคเกิดขึ้น #อริยมรรคจะแหวกอาสวะอันนี้ขาดออกจากกันอาสวะนี้ออกแล้วจิตจะเข้าสัมผัสพระนิพพานสองสามขณะ พวกที่มีบารมีแก่กล้าสัมผัสพระนิพพานสามขณะ พวกที่ไม่แก่กล้าสัมผัสสองขณะไม่เหมือนกัน บุญบารมียังไม่เท่ากัน โสดาบันไม่เท่ากันเลย โสดาบางคนเกิดอีกชาติเดียวก็จะจบละ บางคนอีกสามชาติจะจบไม่เกิดอีก อีกบางคนเจ็ดชาติถึงจะไม่เกิด กำลังมันไม่เท่ากัน แต่ว่าล้างความเห็นผิดได้เท่ากันว่าตัวตนไม่มี พอถอยออกจากสภาวะนี้ จิตจะกลับเข้ามาอยู่ยังความเป็นมนุษย์ปกติอย่างนี้แหละ แล้วมันจะทวนเข้าไปดูจิต มันจะทวนอัตโนมัติเข้าไปดู มันจะพบว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอีกต่อไป ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวใช่ตนอีกต่อไป ที่ไหนๆ ก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไป จะกลวงๆ ว่างจากความเป็นตัวตนไปหมด อย่างคำว่าจิตว่าง จิตว่างไม่ใช่ว่างเปล่า ว่างเปล่านั้นมันหมายถึงว่า ไม่มีอะไรเลย มันเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ทาง คำว่าว่างว่าง ว่างจากความเป็นตัวเป็นตน สภาวะนั้นมีอยู่แต่ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เพราะงั้นจะมีความรู้สึกว่ามันกลวงๆ มันว่างๆ ไม่มีตัวไม่มีตน แต่มีการกระทำ ยังมีการส่งกระแสจากความไม่มีตัวไม่มีตน จิตที่ไม่ใช่ตัวเรา และยังส่งกระแสไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปยึดอารมณ์ได้อีก เรียกว่ามีการกระทำแต่ไม่มีผู้กระทำ จะรู้ชัดเลยว่าการกระทำมีอยู่แต่ไม่มีผู้กระทำ จะเห็นอย่างนี้
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
กำลังเปลี่ยนเส้นทาง#พอทวนเข้าถึงอริยมรรคตัวมรรคนี้เป็นชาติกุศลแต่ตัวผลเป็นชาติวิบาก #พอมันทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้อริยมรรคจะแหวกสิ่งที่ห่อหุ้มจิตอยู่จะแหวกแวบออกไปขาดวาบออกไปอย่างเนียนๆ #จิตที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มจะเป็นอิสระขึ้นมาชั่วคราว สองสามขณะความไม่มีอะไรมีแต่ความสุขล้วนๆ แต่พอเห็นครั้งหนึ่งสองครั้งสามครั้งยังจำไม่ได้ จำไม่แม่น เห็นสี่ครั้งแล้วมันจะมีปัจจเวกฯทวนไปถึงนิพพาน ตอนครั้งที่หนึ่งสองสามนี่ปัจจเวกฯมันไม่ไปดูนิพพาน มันจะไปดูกิเลส กิเลสอะไรละแล้ว กิเลสอะไรยังเหลือ มันยังมีงานต้องทำ ครั้งสุดท้ายไม่มีงานทำ มันจะไปดูนิพพาน ตอนที่จิตแท้ๆซึ่งหลุดพ้นออกมาจากอาสวะปรากฏขึ้นมาแบบไร้ร่องรอยให้รู้ เป็นความว่างที่แท้จริง ถัดจากนั้นแสงสว่างจะปรากฏขึ้น ถัดจากแสงสว่างที่เกิดขึ้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วเขาจะแสดงความมีอยู่ของเขาโดยการแสดงความเบิกบานออกมา บางคนเห็นสองขณะว่างแล้วก็สว่างขึ้นมา บางคนเห็นสามขณะ แสดงความเบิกบานขึ้นมาได้ด้วย ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมาสู่โลกภายนอก แล้วมันจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณา ตรงขณะที่สองหรือขณะที่สามที่ผ่านไปแล้ว อาสวกิเลสจะเข้ามาปกปิดจิตอย่างเดิมอีก สำหรับผู้ที่ผ่านมรรคครั้งที่หนึ่งสองสาม อาสวะที่แหวกออกไปจะกลับเข้ามาห่อหุ้มปกคลุมจิต อย่างฉับพลัน เวลาเข้ามาปิดก็ปิดเนียนๆ จนครั้งที่สี่จิตจึงหลุดจากอาสวะ ไม่ใช่จิตไปทำลายอาสวะ แต่หลุดเพราะไม่ยึดแล้ว เพราะไม่ยึดถือในขันธ์ห้า ในจิตอีกแล้ว ตรงนี้แหละ จิตจะไหวตัวขึ้นมา สองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะ แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง ถัดจากนั้นจิตจะรู้เลย มันไม่มีสาระนะ จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตเกิดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น 2 – 3 ขณะ นะ ความเป็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้ว ทวนจิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆดับไป จะทวนกระแสเข้าหาจิตที่อยู่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามาทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้ ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน นี้ต้องแยกให้ออก มันยังทวนเข้ามาไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิตนะ ไม่ใช่พระอริยะเพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั้นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้เรียกว่า โคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ครั้งสุดท้ายไม่มีงานทำ มันจะไปดูนิพพาน ตอนที่จิตแท้ๆซึ่งหลุดพ้นออกมาจากอาสวะปรากฏขึ้นมาแบบไร้ร่องรอยให้รู้ เป็นความว่างที่แท้จริง ถัดจากนั้นแสงสว่างจะปรากฏขึ้น ถัดจากแสงสว่างที่เกิดขึ้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วเขาจะแสดงความมีอยู่ของเขาโดยการแสดงความเบิกบานออกมา บางคนเห็นสองขณะว่างแล้วก็สว่างขึ้นมา บางคนเห็นสามขณะ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
วันหนึ่งเราจะตามพระพุทธเจ้าของเราไป#พอทวนเข้าถึงอริยมรรคตัวมรรคนี้เป็นชาติกุศลแต่ตัวผลเป็นชาติวิบาก #พอมันทวนกระแสเข้าถึงธาตุรู้อริยมรรคจะแหวกสิ่งที่ห่อหุ้มจิตอยู่จะแหวกแวบออกไปขาดวาบออกไปอย่างเนียนๆ #จิตที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มจะเป็นอิสระขึ้นมาชั่วคราว สองสามขณะความไม่มีอะไรมีแต่ความสุขล้วนๆ แต่พอเห็นครั้งหนึ่งสองครั้งสามครั้งยังจำไม่ได้ จำไม่แม่น เห็นสี่ครั้งแล้วมันจะมีปัจจเวกฯทวนไปถึงนิพพาน ตอนครั้งที่หนึ่งสองสามนี่ปัจจเวกฯมันไม่ไปดูนิพพาน มันจะไปดูกิเลส กิเลสอะไรละแล้ว กิเลสอะไรยังเหลือ มันยังมีงานต้องทำ ครั้งสุดท้ายไม่มีงานทำ มันจะไปดูนิพพาน ตอนที่จิตแท้ๆซึ่งหลุดพ้นออกมาจากอาสวะปรากฏขึ้นมาแบบไร้ร่องรอยให้รู้ เป็นความว่างที่แท้จริง ถัดจากนั้นแสงสว่างจะปรากฏขึ้น ถัดจากแสงสว่างที่เกิดขึ้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วเขาจะแสดงความมีอยู่ของเขาโดยการแสดงความเบิกบานออกมา บางคนเห็นสองขณะว่างแล้วก็สว่างขึ้นมา บางคนเห็นสามขณะ แสดงความเบิกบานขึ้นมาได้ด้วย ถัดจากนั้นจิตจะถอยออกมาสู่โลกภายนอก แล้วมันจะทวนกระแสกลับเข้าไปพิจารณา ตรงขณะที่สองหรือขณะที่สามที่ผ่านไปแล้ว อาสวกิเลสจะเข้ามาปกปิดจิตอย่างเดิมอีก สำหรับผู้ที่ผ่านมรรคครั้งที่หนึ่งสองสาม อาสวะที่แหวกออกไปจะกลับเข้ามาห่อหุ้มปกคลุมจิต อย่างฉับพลัน เวลาเข้ามาปิดก็ปิดเนียนๆ จนครั้งที่สี่จิตจึงหลุดจากอาสวะ ไม่ใช่จิตไปทำลายอาสวะ แต่หลุดเพราะไม่ยึดแล้ว เพราะไม่ยึดถือในขันธ์ห้า ในจิตอีกแล้ว ตรงนี้แหละ จิตจะไหวตัวขึ้นมา สองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะ แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง ถัดจากนั้นจิตจะรู้เลย มันไม่มีสาระนะ จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้ว ก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตเกิดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น 2 – 3 ขณะ นะ ความเป็นกลางอย่างแท้จริงเลย รู้อย่างเป็นกลางอย่างแท้จริง ไม่ปรุงต่อนะ จิตจะวาง พอมันวางแล้วมันจะทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ วางจิตแล้ว ทวนจิตที่อยู่ในภพภูมิต่างๆดับไป จะทวนกระแสเข้าหาจิตที่อยู่เหนือภพเหนือภูมิ ทวนกระแสเข้ามาทวนเข้ามาแต่ยังไม่ถึงธาตุรู้ ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพานนะ แต่ธาตุรู้ไปเห็นพระนิพพาน นี้ต้องแยกให้ออก มันยังทวนเข้ามาไม่ถึงธาตุรู้ ไม่ใช่ปุถุชน ไม่ใช่พระอริยะ ทำไมไม่ใช่ปุถุชน เพราะมันปล่อยขันธ์แล้ว ขันธ์สุดท้ายที่มันปล่อยก็คือจิตนะ ไม่ใช่พระอริยะเพราะยังไม่เข้ามาถึงธาตุรู้ ไม่เข้าถึงพระนิพพาน ตัวธาตุรู้นั้นแหละเป็นตัวไปเห็นพระนิพพาน ตรงนี้เรียกว่า โคตรภูญาณ ญาณข้ามโคตร มีปัญญาข้ามโคตร ครั้งสุดท้ายไม่มีงานทำ มันจะไปดูนิพพาน ตอนที่จิตแท้ๆซึ่งหลุดพ้นออกมาจากอาสวะปรากฏขึ้นมาแบบไร้ร่องรอยให้รู้ เป็นความว่างที่แท้จริง ถัดจากนั้นแสงสว่างจะปรากฏขึ้น ถัดจากแสงสว่างที่เกิดขึ้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วเขาจะแสดงความมีอยู่ของเขาโดยการแสดงความเบิกบานออกมา บางคนเห็นสองขณะว่างแล้วก็สว่างขึ้นมา บางคนเห็นสามขณะ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ลุงบุญมีฝึกมโนมยิทธิ เที่ยวชั้นพรหมโลก#ทางบรรลุธรรมเมื่ออริยมรรคเกิดอริยผลเกิดจิตจะสัมผัสพระนิพพาน #พระสาวกทั้งหลายที่ได้บรรลุธรรมในสมัยพุทธกาลนั้นมี5สาเหตุ #ทางหลุดพ้นจากทุกข์ในชีวิตของสัตว์โลกมี5ทาง ศาสนาพุทธตอบโจทย์อยู่ข้อเดียวไม่ตอบว่าใครสร้างโลก ไม่ตอบว่ามนุษย์มีกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษจริงหรือไม่จริงไม่ตอบเรื่องอื่นๆเลย ศาสนาพุทธตอบอยู่เรื่องเดียวว่าทำยังไงจะไม่ทุกข์ต้องการแค่นี้เอง มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์มันดีไหมถึงเปลือกนอกจะนับถือศาสนาอื่น แต่ถ้ารู้ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่ทุกข์หรอกคำสอนของพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธเป็นคำตอบโดยตรงเลยว่าเรามีวิธีปฏิบัติยังไงเราจึงจะไม่ทุกข์เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่ต้องเชื่อ ... พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้าไม่สามารถบันดาลอะไรให้เราได้สักอย่างเดียว แต่ท่านสอนวิธีที่ทำให้เราหายโง่คนมีความทุกข์เพราะโง่ไม่เพราะอย่างอื่นเลยวิธีที่จะไม่โง่ก็คือเห็นโลกอย่างที่โลกเป็น@ือรูปนามกายใจ เห็นกายอย่างที่กายเป็นเห็นใจอย่างที่ใจเป็นแล้วหายโง่
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ลุงบุญมีฝึกมโนมยิทธิ เที่ยวชั้นพรหมโลก#ทางบรรลุธรรมเมื่ออริยมรรคเกิดอริยผลเกิดจิตจะสัมผัสพระนิพพาน #พระสาวกทั้งหลายที่ได้บรรลุธรรมในสมัยพุทธกาลนั้นมี5สาเหตุ #ทางหลุดพ้นจากทุกข์ในชีวิตของสัตว์โลกมี5ทาง ศาสนาพุทธตอบโจทย์อยู่ข้อเดียวไม่ตอบว่าใครสร้างโลก ไม่ตอบว่ามนุษย์มีกรรมมาตั้งแต่บรรพบุรุษจริงหรือไม่จริงไม่ตอบเรื่องอื่นๆเลย ศาสนาพุทธตอบอยู่เรื่องเดียวว่าทำยังไงจะไม่ทุกข์ต้องการแค่นี้เอง มีชีวิตอยู่โดยไม่มีความทุกข์มันดีไหมถึงเปลือกนอกจะนับถือศาสนาอื่น แต่ถ้ารู้ศาสตร์ของพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่ทุกข์หรอกคำสอนของพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธเป็นคำตอบโดยตรงเลยว่าเรามีวิธีปฏิบัติยังไงเราจึงจะไม่ทุกข์เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่ต้องเชื่อ ... พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้าไม่สามารถบันดาลอะไรให้เราได้สักอย่างเดียว แต่ท่านสอนวิธีที่ทำให้เราหายโง่คนมีความทุกข์เพราะโง่ไม่เพราะอย่างอื่นเลยวิธีที่จะไม่โง่ก็คือเห็นโลกอย่างที่โลกเป็น@ือรูปนามกายใจ เห็นกายอย่างที่กายเป็นเห็นใจอย่างที่ใจเป็นแล้วหายโง่
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
หยุดเป็นตัวสำเร็จนิพพาน - วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/นิพพาน คำว่า นิพพาน เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย ... ไปสู่สภาวะของนิพพานอย่างคำสอนอุปนิษัท .... อนึ่ง การถกเถียงเรื่องสภาวะของนิพพาน มีมานานเป็นพันปีแล้ว ... #เวลาที่จิตจะเกิดมรรคผลนั้นจิตจะรวมเข้าอัปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นเวลาท่านพูดถึงองค์มรรคเนี่ย สัมมาสมาธิ ท่านจะพูดด้วยอัปนาสมาธิ ด้วยฌาน ๔ พวกเราตอนที่เจริญสติอยู่นี่เรียกว่า เจริญบุพพภาคมรรค เบื้องต้นแห่งมรรคยังไม่เป็นฌานนะ #เราหัดเจริญสติอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ถึงวันที่อริยมรรคจะเกิด #จิตจะรวมเข้าฌานโดยอัตโนมัตินะจิตเวลาที่เกิดมรรคเกิดผล จะไม่เกิดในจิตของคนธรรมดา นี่เรียกว่ากามาวจรจิต กามาวจรภูมิ ไม่เป็นอย่างนั้น จะต้องเข้าฌานนะ เมื่อมันรวมเข้าไปแล้วมันจะเห็น สภาวะธรรมนี่เกิดดับสองขณะหรือสามขณะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ ถัดจากนั้นจิตจะวางการรู้อารมณ์ ทวนกระแสเข้ามาหาธาตุรู้ สิ่งที่ห่อหุ้มปกคลุมธาตุรู้อยู่นี่ ถูกอริยมรรคแหวกออกไป แล้วก็มันจะไปเห็นนิพพานนะ นิพพานไม่ใช่ว่างเปล่า นิพพานไม่ใช่โลกๆหนึ่ง พวกเรายังไม่เคยเห็น เราก็วาดภาพสุดโต่งไปสองข้าง ข้างหนึ่งก็นิพพานเป็นโลกๆหนึ่ง พวกนี้พวกสัสตะทิฐิ มีของที่เที่ยงคงที่ อีกพวกหนึ่งคิดว่านิพพานสูญไปเลย ขณะนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย กระทั่งสติ พวกนี้หลงไปล่ะ คิดว่านิพพานไม่มีอะไรเลย นี่พวกอุจเฉททิฐินะ นิพพานมีนะ นิพพานมีสภาวะรองรับ สภาวะของนิพพานคือสันติ คือความสงบนั่นเอง สงบจากอะไร สงบจากกิเลส สงบจากอะไร สงบจากความปรุงแต่ง สงบจากอะไร สงบจากการแบกหามขันธ์นะ ดังนั้นเราภาวนานะการปฎิบัติธรรมเนี่ย เราอย่าไปวาดภาพให้มันยุ่งยาก ธรรมะไม่ใช่ของลึกลับ พวกเราชอบคิดว่าธรรมะคืออะไรก็ไม่รู้ ลึกลับ รู้แต่ว่ามันเป็นของดี เราคิดแต่ว่ามันอยู่ไกลๆ เราต้องทำอีกนานๆถึงจะเจอ เราชอบคิดว่าธรรมะอยู่ที่วัด ธรรมะอยู่ที่พระ หรือธรรมะอยู่ที่การเข้าคอร์ส แท้จริงธรรมะไม่ได้พิกลพิการยากไร้ขนาดนั้นหรอก ธรรมะอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่เกิด ถ้าพวกเราอยากได้ธรรมะเนี่ย ให้ย้อนมาเรียนที่ตัวธรรมะจริงๆ อะไรเป็นตัวธรรมะตัวจริง กายนี้แหละเป็นธรรมะเรียกว่ารูปธรรม ชื่อมันบอกอยู่แล้วว่ามันเป็นธรรมะ เรียกว่ารูปธรรม ใจของเรานี้แหละเป็นธรรมะ เรียกว่านามธรรม อย่าไปแสวงหาธรรมะที่อื่น หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอนะ จะมาฟังอาตมาพูดกี่วันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ธรรมะ(แท้ๆ – ผู้ถอด)เรียนไม่ได้ด้วยการฟัง เรียนไม่ได้ด้วยการอ่าน เรียนไม่ได้ด้วยการคิดๆเอา ทางเดียวที่จะเรียนธรรมะได้นี่นะ คือต้องเรียนจากครูของเราจริงๆ ครูที่จะสอนธรรมะเราได้มีสองคนเท่านั้น คือ รูปกับนามหรือกายกับใจของเรานี่เอง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือ ให้คอยรู้ลงที่กายคอยรู้ลงที่ใจเนืองๆ กายและใจจะสอนธรรมะของจริงให้เราดู คนส่วนใหญ่เที่ยวหาธรรมะภายนอก ก็มีแต่หลงออกไปภายนอก ละเลยที่จะเรียนรู้เรื่องของตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าสอนให้น้อมเข้ามา โอปนยิโก น้อมกลับเข้ามา มาเรียนเรื่องของตัวเราเอง เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมะในตำราอภิธรรมจะสอน บอกว่าต้องรู้รูปนามต้องรู้กายรู้ใจนะ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางพระนิพพาน#พระธรมเทศนาโดยพระราชพรหมยานเถระหลวงพ่อฤๅษีว้ดท่าซุง เรื่องของการภาวนาจะใช้คำว่าเล็กน้อยไม่ได้ เพราะว่า#การภาวนาส่วนใหญ่คือการใช้ปัญญาภาวนาแปลว่าทำให้เจริญแต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นตรงสมาธิ การที่จะทำให้เจริญจริง ๆ ก็คือ #การที่เรารู้จักใช้ปัญญาอย่าลืมว่าพระโสดาบันจริงๆน่ะเขาไม่ได้เป็นพระโสดาบันกันไปตลอดนะส่วนใหญ่ก่อนตายเห็นสภาพของร่างกายไม่ไหวจริง ๆก็เป็นอรหันต์กันไปเยอะต่อเยอะแล้ว คราวนี้ของเราเองเรามีทานศีลเป็นปกติ ตัวภาวนาของให้เกาะนิพพานเป็นปกติ เราตั้งใจว่า "ทุกอย่างที่เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าหากว่าตายเมื่อไร เราปรารถนาที่เดียว คือพระนิพพาน" ไม่ต้องมากเลย แค่นี้แหละ คราวนี้ก่อนตายนี่สำคัญ...! สำคัญตรงก่อนตาย ก่อนตายถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันอยู่ไหม ช่วงนั้นจะไปรักใครก็ไม่ไหวแล้ว คนจะตายอยู่ จะไปโกรธใครก็ไม่ไหว แรงจะโกรธก็ไม่มี จะไปหลงใครก็คงจะไม่ไหว ถ้าอบรมมาดีต้องเห็นว่าร่างกายเป็นโทษ ก็แค่เพิ่มความคิดไปนิดเดียวแค่นั้น ว่าถ้าอย่างนั้นเราไปพระนิพพานดีกว่า เป็นอันว่าจบเลย เพราะฉะนั้น...ส่วนใหญ่แล้ว พระโสดาบัน ท่านจะไม่รอหรอก ถึงเวลากระโดดข้ามขั้นเลยมากกว่า 1. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่าวันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตินี้ 2. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้และขอให้ลูกคล่องตัวทุก ๆ อย่าง 3. รักษาศีล5 หรือ ศีล8 ให้ครบทุกข้อจงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล 4. ภาวนามีให้เลือกดังนี้แบบฝึก มโนมยิทธิ หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะหรือหายใจเข้า พุธ หายใจออก โธ หรือหายใจเข้า นิพพาน หายใจออกนิพพาน 5. นิมิตฝึกจำพระพุทธรูปที่ตนชอบ1 องค์หลับตาและลืมตาต้องจำภาพพระพุทธรูปให้ได้ 6. ขยายนิมิต ให้ออกไปกลางแจ้งขอให้พระพุทธเจ้าขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเราร้านและกิจการของเรา 7. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณกาลบัดนี้เถิด 8. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ข้าพระพุทธเจ้าขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยขอได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าเพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด 9. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครกเหม็นเน่าอืดพองน้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่าเหม็นมีร่างกายจึงเป็นทุกข์เพราะต้องแก่-เจ็บ แล้วก็ตายสลายหมดอนิจจา… พอหนังกำพร้าฉีกขาดน้ำเลือดน้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวน่าคลื่นไส้อวกแตกชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับร่างกายอันแสนโสโครก ! 10. ทาน-ศีล-ภาวนาจะน้อยหรือมาก ให้ทำด้วยความเต็มใจเพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้ 11. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดไว้เสมอๆตายแล้วจะไปที่นั้นแล 12. พระพุทธเจ้า5 แสน1 หมื่น2 พัน28 พระองค์, พระปัจเจกพระพุทธเจ้านับเป็นล้าน ๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฎิอยู่ครบที่เมืองนิพพานคอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้ 13. นิพพานสูญ สูญแปลว่าว่างจากกิเลสทั้งหมดแต่มีสภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่อง อยู่ที่นั่นเป็นอมตะถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำได้ทำถึง ปัญหาไม่มีอย่าห่วงตำรา อย่าบ้าความรู้ปริยัติจงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี 14. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุก ๆอย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้จะมีผลดีแก่ตนได้มรรคผลชาตินี้แล แต่…..ถ้าคบนักเปรตปฏิเสธพระนิพพาน อเวจีครับท่านแย่งกันไปเยอะ 15. แผ่เมตตาก่อนปฏิบัติธรรมข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลายและสรรพวิญญาณทั้งปวงขอจงอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน จงมีความสุขพ้นทุกข์ในชาตินี้และให้เข้าถึงที่นิพพานเทอญ 16. คำอาราธนาเจริญกรรมฐานลูกขอบูชาและขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์พรหมเทวดาทั้งหมดขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพานตามความเป็นจริงณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด 17. อุทิศส่วนกุศลขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้วนี้ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์พรหมเทวดามนุษย์ทั้งหลายอบายภูมิ4 เจ้ากรรมนายเวรสรรพวิญญาณทั้งหมด จงโมทนา จงมีความสุขพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ก้าวล่วงถึงพระนิพพานขอพญายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้าถึงนิพพานของข้าพเจ้าในชาตินี้ด้วยเถิด
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางพระนิพพาน#พระธรมเทศนาโดยพระราชพรหมยานเถระหลวงพ่อฤๅษีว้ดท่าซุง เรื่องของการภาวนาจะใช้คำว่าเล็กน้อยไม่ได้ เพราะว่า#การภาวนาส่วนใหญ่คือการใช้ปัญญาภาวนาแปลว่าทำให้เจริญแต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นตรงสมาธิ การที่จะทำให้เจริญจริง ๆ ก็คือ #การที่เรารู้จักใช้ปัญญาอย่าลืมว่าพระโสดาบันจริงๆน่ะเขาไม่ได้เป็นพระโสดาบันกันไปตลอดนะส่วนใหญ่ก่อนตายเห็นสภาพของร่างกายไม่ไหวจริง ๆก็เป็นอรหันต์กันไปเยอะต่อเยอะแล้ว คราวนี้ของเราเองเรามีทานศีลเป็นปกติ ตัวภาวนาของให้เกาะนิพพานเป็นปกติ เราตั้งใจว่า "ทุกอย่างที่เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าหากว่าตายเมื่อไร เราปรารถนาที่เดียว คือพระนิพพาน" ไม่ต้องมากเลย แค่นี้แหละ คราวนี้ก่อนตายนี่สำคัญ...! สำคัญตรงก่อนตาย ก่อนตายถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันอยู่ไหม ช่วงนั้นจะไปรักใครก็ไม่ไหวแล้ว คนจะตายอยู่ จะไปโกรธใครก็ไม่ไหว แรงจะโกรธก็ไม่มี จะไปหลงใครก็คงจะไม่ไหว ถ้าอบรมมาดีต้องเห็นว่าร่างกายเป็นโทษ ก็แค่เพิ่มความคิดไปนิดเดียวแค่นั้น ว่าถ้าอย่างนั้นเราไปพระนิพพานดีกว่า เป็นอันว่าจบเลย เพราะฉะนั้น...ส่วนใหญ่แล้ว พระโสดาบัน ท่านจะไม่รอหรอก ถึงเวลากระโดดข้ามขั้นเลยมากกว่า 1. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่าวันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตินี้ 2. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้และขอให้ลูกคล่องตัวทุก ๆ อย่าง 3. รักษาศีล5 หรือ ศีล8 ให้ครบทุกข้อจงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล 4. ภาวนามีให้เลือกดังนี้แบบฝึก มโนมยิทธิ หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะหรือหายใจเข้า พุธ หายใจออก โธ หรือหายใจเข้า นิพพาน หายใจออกนิพพาน 5. นิมิตฝึกจำพระพุทธรูปที่ตนชอบ1 องค์หลับตาและลืมตาต้องจำภาพพระพุทธรูปให้ได้ 6. ขยายนิมิต ให้ออกไปกลางแจ้งขอให้พระพุทธเจ้าขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเราร้านและกิจการของเรา 7. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณกาลบัดนี้เถิด 8. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ข้าพระพุทธเจ้าขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยขอได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าเพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด 9. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครกเหม็นเน่าอืดพองน้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่าเหม็นมีร่างกายจึงเป็นทุกข์เพราะต้องแก่-เจ็บ แล้วก็ตายสลายหมดอนิจจา… พอหนังกำพร้าฉีกขาดน้ำเลือดน้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวน่าคลื่นไส้อวกแตกชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับร่างกายอันแสนโสโครก ! 10. ทาน-ศีล-ภาวนาจะน้อยหรือมาก ให้ทำด้วยความเต็มใจเพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้ 11. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดไว้เสมอๆตายแล้วจะไปที่นั้นแล 12. พระพุทธเจ้า5 แสน1 หมื่น2 พัน28 พระองค์, พระปัจเจกพระพุทธเจ้านับเป็นล้าน ๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฎิอยู่ครบที่เมืองนิพพานคอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้ 13. นิพพานสูญ สูญแปลว่าว่างจากกิเลสทั้งหมดแต่มีสภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่อง อยู่ที่นั่นเป็นอมตะถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำได้ทำถึง ปัญหาไม่มีอย่าห่วงตำรา อย่าบ้าความรู้ปริยัติจงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี 14. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุก ๆอย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้จะมีผลดีแก่ตนได้มรรคผลชาตินี้แล แต่…..ถ้าคบนักเปรตปฏิเสธพระนิพพาน อเวจีครับท่านแย่งกันไปเยอะ 15. แผ่เมตตาก่อนปฏิบัติธรรมข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลายและสรรพวิญญาณทั้งปวงขอจงอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน จงมีความสุขพ้นทุกข์ในชาตินี้และให้เข้าถึงที่นิพพานเทอญ 16. คำอาราธนาเจริญกรรมฐานลูกขอบูชาและขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์พรหมเทวดาทั้งหมดขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพานตามความเป็นจริงณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด 17. อุทิศส่วนกุศลขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้วนี้ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์พรหมเทวดามนุษย์ทั้งหลายอบายภูมิ4 เจ้ากรรมนายเวรสรรพวิญญาณทั้งหมด จงโมทนา จงมีความสุขพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ก้าวล่วงถึงพระนิพพานขอพญายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้าถึงนิพพานของข้าพเจ้าในชาตินี้ด้วยเถิด
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางพระนิพพาน#พระธรมเทศนาโดยพระราชพรหมยานเถระหลวงพ่อฤๅษีว้ดท่าซุง เรื่องของการภาวนาจะใช้คำว่าเล็กน้อยไม่ได้ เพราะว่า#การภาวนาส่วนใหญ่คือการใช้ปัญญาภาวนาแปลว่าทำให้เจริญแต่ส่วนใหญ่เราจะเน้นตรงสมาธิ การที่จะทำให้เจริญจริง ๆ ก็คือ #การที่เรารู้จักใช้ปัญญาอย่าลืมว่าพระโสดาบันจริงๆน่ะเขาไม่ได้เป็นพระโสดาบันกันไปตลอดนะส่วนใหญ่ก่อนตายเห็นสภาพของร่างกายไม่ไหวจริง ๆก็เป็นอรหันต์กันไปเยอะต่อเยอะแล้ว คราวนี้ของเราเองเรามีทานศีลเป็นปกติ ตัวภาวนาของให้เกาะนิพพานเป็นปกติ เราตั้งใจว่า "ทุกอย่างที่เราทำเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถ้าหากว่าตายเมื่อไร เราปรารถนาที่เดียว คือพระนิพพาน" ไม่ต้องมากเลย แค่นี้แหละ คราวนี้ก่อนตายนี่สำคัญ...! สำคัญตรงก่อนตาย ก่อนตายถ้าหากว่าเราเป็นพระโสดาบันอยู่ไหม ช่วงนั้นจะไปรักใครก็ไม่ไหวแล้ว คนจะตายอยู่ จะไปโกรธใครก็ไม่ไหว แรงจะโกรธก็ไม่มี จะไปหลงใครก็คงจะไม่ไหว ถ้าอบรมมาดีต้องเห็นว่าร่างกายเป็นโทษ ก็แค่เพิ่มความคิดไปนิดเดียวแค่นั้น ว่าถ้าอย่างนั้นเราไปพระนิพพานดีกว่า เป็นอันว่าจบเลย เพราะฉะนั้น...ส่วนใหญ่แล้ว พระโสดาบัน ท่านจะไม่รอหรอก ถึงเวลากระโดดข้ามขั้นเลยมากกว่า 1. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่าวันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตินี้ 2. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้และขอให้ลูกคล่องตัวทุก ๆ อย่าง 3. รักษาศีล5 หรือ ศีล8 ให้ครบทุกข้อจงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล 4. ภาวนามีให้เลือกดังนี้แบบฝึก มโนมยิทธิ หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะหรือหายใจเข้า พุธ หายใจออก โธ หรือหายใจเข้า นิพพาน หายใจออกนิพพาน 5. นิมิตฝึกจำพระพุทธรูปที่ตนชอบ1 องค์หลับตาและลืมตาต้องจำภาพพระพุทธรูปให้ได้ 6. ขยายนิมิต ให้ออกไปกลางแจ้งขอให้พระพุทธเจ้าขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเราร้านและกิจการของเรา 7. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณกาลบัดนี้เถิด 8. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ข้าพระพุทธเจ้าขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยขอได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าเพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด 9. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครกเหม็นเน่าอืดพองน้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่าเหม็นมีร่างกายจึงเป็นทุกข์เพราะต้องแก่-เจ็บ แล้วก็ตายสลายหมดอนิจจา… พอหนังกำพร้าฉีกขาดน้ำเลือดน้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวน่าคลื่นไส้อวกแตกชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับร่างกายอันแสนโสโครก ! 10. ทาน-ศีล-ภาวนาจะน้อยหรือมาก ให้ทำด้วยความเต็มใจเพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้ 11. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดไว้เสมอๆตายแล้วจะไปที่นั้นแล 12. พระพุทธเจ้า5 แสน1 หมื่น2 พัน28 พระองค์, พระปัจเจกพระพุทธเจ้านับเป็นล้าน ๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฎิอยู่ครบที่เมืองนิพพานคอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้ 13. นิพพานสูญ สูญแปลว่าว่างจากกิเลสทั้งหมดแต่มีสภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่อง อยู่ที่นั่นเป็นอมตะถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำได้ทำถึง ปัญหาไม่มีอย่าห่วงตำรา อย่าบ้าความรู้ปริยัติจงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี 14. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุก ๆอย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้จะมีผลดีแก่ตนได้มรรคผลชาตินี้แล แต่…..ถ้าคบนักเปรตปฏิเสธพระนิพพาน อเวจีครับท่านแย่งกันไปเยอะ 15. แผ่เมตตาก่อนปฏิบัติธรรมข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลายและสรรพวิญญาณทั้งปวงขอจงอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน จงมีความสุขพ้นทุกข์ในชาตินี้และให้เข้าถึงที่นิพพานเทอญ 16. คำอาราธนาเจริญกรรมฐานลูกขอบูชาและขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์พรหมเทวดาทั้งหมดขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพานตามความเป็นจริงณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด 17. อุทิศส่วนกุศลขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้วนี้ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยะสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์พรหมเทวดามนุษย์ทั้งหลายอบายภูมิ4 เจ้ากรรมนายเวรสรรพวิญญาณทั้งหมด จงโมทนา จงมีความสุขพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ก้าวล่วงถึงพระนิพพานขอพญายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้าถึงนิพพานของข้าพเจ้าในชาตินี้ด้วยเถิด
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
วิมุตติ #นิพพาน#การบรรลุธรรม#เราจะปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่มรรคผลนิพพาน #ทำไมเราไม่กำหนดรู้ความว่างหรือมหาสุญญตาโดยตรงล่ะครับทำไมจึงต้องอ้อมไปหานิพพานโดยผ่านทางการรู้ทุกข์หรือรูปนาม ตอบ นิพพานไม่ใช่โลกอีกอันหนึ่งที่ว่างๆ และไม่มี อะไรเลย แต่นิพพานคือความดับตัณหาหรือวิราคะ และคือความดับของความปรุงแต่ง (รูปนาม) หรือ วิสังขาร ดังนั้นถ้าจู่ๆ เราดูเข้าไปที่ความว่าง เราจะหลงเพ่งช่องว่าง หรือเพ่งความไม่มีอะไรเลย นิพพานชนิดนั้นเรียกได้ว่านิพพานพรหม ไม่ใช่นิพพานพุทธ หนทางปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินจึงต้องรู้ทุกข์ คือรู้ความปรุงแต่งหรือรูปนาม จนเข้าใจรูปนามตามความเป็นจริงจึงหมดตัณหา เมื่อใดหมดตัณหา เมื่อนั้นธรรมที่ปราศจากตัณหาและปราศจากความปรุงแต่งก็จะปรากฏออก มาให้รู้ได้ด้วยใจ สภาวะใดยังมีตัณหา และสภาวะใดยังมีรูปนาม สภาวะนั้นไม่ใช่นิพพาน ตัวตนและสมมติบัญญัติทั้งหลายคือภาพลวงตาที่ตั้งซ้อนอยู่กับรูปนาม เมื่อเข้าใจรูปนาม ตามความเป็นจริงภาพลวงตาก็หายไป เมื่อเห็นแจ้งอย่างนี้ความยึดถือรูปนามก็ดับไป เมื่อจิตปล่อย วางรูปนามหมดความดิ้นรนแส่ส่ายเพราะความหิว ในอารมณ์ นิพพานคือความดับ แห่งตัณหาก็ปรากฏ ขึ้น เรียกว่ากิเลสนิพพานหรือสอุปาทิเสสนิพพาน เมื่อรูปนามนี้ดำรงสืบต่อจนหมดวิบากที่ส่งผลให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้ว รูปนามนั้นก็ดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อ เรียกว่าขันธนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพาน จะเห็นได้ว่านิพพานไม่ได้ปรากฏออกมาเพราะการแสวงหานิพพาน แต่ปรากฏเพราะการปล่อยวางความยึดถือในรูปนามเสียได้ ถาม เมื่อเราปฏิบัติมากเข้า สภาวะของสติปัญญา และจิตใจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหมครับ ตอบ เปลี่ยน แต่เขาเปลี่ยนของเขาเอง ไม่ใช่เราไป บังคับให้เขาเปลี่ยนได้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง สติเบื้องต้นจะเกิดน้อย นานๆจะเกิดครั้งหนึ่ง แต่เมื่อหมั่นตามรู้กายตามรู้ใจเนืองๆ จนจิตรู้จักสภาวธรรมได้มากและแม่นยำแล้ว สติก็จะเกิดเร็วขึ้น ความเผลอก็จะสั้นลงเรื่อยๆ และสตินั้นเบื้องต้นรู้ได้แต่อารมณ์หยาบๆ เบื้องกลางรู้อารมณ์ ได้ละเอียดขึ้น เบื้องปลายรู้ได้ทุกอย่าง ปัญญาเบื้องต้นรู้สภาวะหรือรูปนามเบื้องกลาง รู้ลักษณะหรือไตรลักษณ์ เบื้องสูงรู้อริยสัจจ์ สูงสุดรู้นิพพาน จิตเบื้องต้นคลุกรวมอยู่กับอารมณ์ (จมอยู่กับรูปนาม รู้รูปนามอย่างมีส่วนได้เสีย) เบื้องกลางถอดถอนตนเองขึ้นเอง เริ่มจากการถอดถอน บ้างรวมบ้าง จนไม่รวมเข้ากับรูปนามเลย และเหมือนลอยอยู่กลางความว่าง ถึงจุดนี้ผู้ปฏิบัติอาจจะสงสัยว่าแล้วควรจะให้รู้ที่ใด ระหว่างจิต อารมณ์ และความว่าง จึงเที่ยวค้นคว้าหาทางเดินต่อไป เพราะพอรู้รูปนามก็ทุกข์ พอรู้จิตก็ว่างไม่มีอะไรเหมือนโง่อยู่เฉยๆ (การเพียรรู้รูปนามหรือจิต ก็ยังมีการกระทำหรือกรรมที่เรียกว่าปุญญาภิ-สังขาร) พอจะรู้ความว่างก็ยังต้องส่งใจออกไปรู้ (ว่างชนิดนี้จึงเป็นว่างที่รู้ด้วยอำนาจบงการของตัณหา ยังมีอาเนญชาภิสังขาร ผู้ปฏิบัติอย่างไม่รอบคอบและมีปัญญาไม่พอ จิตจะแล่นไปยึดเอาความว่างคือ "ความไม่มีอะไร" มาแทนขันธ์ เพราะคิดว่าความว่างคือนิพพาน ที่จริงนั่นเป็นอารมณ์อรูปไม่ใช่นิพพาน) เมื่อเจริญสติมากเข้าจนจิตเข้าใจอริยสัจจ์แจ่มแจ้ง คือรู้ว่า "รูปนามหรือขันธ์นั่นแหละคือทุกข์ แต่ถ้าสิ้นตัณหาคือหมดอยากหมดยึดขันธ์ จิตก็หลุดพ้นจากกองขันธ์ ก็คือพ้นทุกข์" เมื่อรู้แจ้งอริยสัจจ์อย่างนี้แล้ว จิตก็ถอดถอนหลุดพ้นออกจากกองทุกข์คือขันธ์ และพ้นจากการกระทบกระทั่งของกิเลส ทุกข์หรือขันธ์ก็ยังคงมีอยู่เพราะวิบากยังให้ผลอยู่ แต่ใจพ้นทุกข์ลอยอยู่เหนือกองทุกข์เพราะสิ้นตัณหาอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตไว้กับขันธ์ ความสิ้นตัณหานี่แหละคือนิพพานเป็นสภาพที่พ้นทุกข์ (ขันธ์) พ้นกิเลส โดยไม่ต้องส่งจิตเข้าไปหานิพพานในความว่างที่ไหนเลย #ถึงจุดนั้นจะเห็นชัดว่าสภาวธรรมทั้งปวงคือจิตเจตสิกรูปนิพพานเป็นเพียงอารมณ์ที่ปรากฏเท่านั้นไม่มีเจ้าของผู้ครอบครองแต่อย่างใด
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
วิธีการเข้าถึงพระนิพพานบันได 3 ขั้นสู่การ บรรลุนิพพาน ด้วยตัวเอง นิพพานคือประโยชร์สูงสุดของพระพุทธศาสนา หลายคนก็เกิดแรงบันดาลใจขวนขวายปฏิบัติธรรมหวังจะ บรรลุนิพพาน ด้วยตัวเอง โดยคิดว่าไม่อยากรอชาติหน้าแล้ว อยากได้ประโยชน์จากนิพพานตอนนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้วิธีปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่นิพพานโดยแท้จริงอย่างถูกวิธี ลองมาดูกันว่าหนทางบรรลุนิพพานด้วยตัวเอง ต้องทำอย่างไรบ้าง Advertisement ศีล ทำใจให้สะอาด เรารักษาศีลเพื่อลดความเห็นแก่ตัว และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น สำหรับฆราวาสอาจเริ่มตัวด้วยศีล 5 หรือศีล 8 เป็นเครื่องมือทำให้ชีวิตสงบเย็นและเรียบง่าย แต่ถึงแม้ศีลจะไม่สมบูรณ์ เราก็ไม่ควรเป็นทุกข์กับมัน สมมติเราบังเอิญทำมดตายตัวหนึ่งก็อย่ามัวเสียอกเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร ให้วางความเสียใจลงแล้วตั้งใจว่าจะระวังให้มากขึ้น เราอาจเคยโกหกด้วยความเผลอ ก็ไม่ควรตำหนิตัวเองซำแล้วซ้ำเล่าแต่ควรตั้งสติให้ดีทุกครั้งที่พูด คนที่รักษาศีลไม่เป็นมี 2 ลักษณะ คือ พวกหนึ่งถ้าศีลพร่องจะรู้สึกผิดตลอดเวลา อีกพวกหนึ่งถ้าศีลครบก็เกิดความหลงตน ซึ่งไม่ดีทั้งสองอย่าง การรักษาศีลที่ถูกต้องย่อมประกอบไปด้วยปัญญา คือเข้าใจจุดมุ่งหมายของศีล ถ้าเรารักษาศีลได้ถูกต้องก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมได้สมควรแก่ธรรม การถือศีลแล้วยกตนข่มผู้อื่นเป็นสิ่งที่ควรละ คือคิดว่าถ้าถือศีลได้เป๊ะๆ แล้วจะทำให้ตนบริสุทธิ์หรือวิเศษ สวดมนต์ต้องไม่พลาดแม้แต่คำเดียวเพราะจะทำให้ขาดความศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้เรียกว่าเข้าไม่ถึงแก่นของศีล แทนที่จะปฏิบัติเพื่อขัดเกลา กลับไปยึดติดลูบคลำอยู่แต่เปลือกภายนอกเท่านั้น โดยแก่นแท้แล้ว ศีลเป็นแบบฝึกหัดเพื่อขัดเกลาตัวเองให้มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง Advertisement สมาธิ ทำจิตใจให้สงบ คนเรามักไปจมอยู่กับความคิดในอดีตหรือไม่ก็กังวลกับอนาคต น้อยครั้งที่เราจะอยู่กับปัจจุบันหรือลมหายใจเข้า-ออก รับรู้ถึงกายที่กำลังเคลื่อนไหวหรือใจที่กำลังนึกคิด ซึ่งเป็นการปฏิบัติเพื่อทำให้จิตใจสงบอย่างแท้จริง สมาธิสำหรับคนทั่วไปอาจเริ่มต้นด้วยการใช้ชีวิตเรียบง่าย บางทีก็ใช้คำว่าสันโดษ เมื่อมีชีวิตเรียบง่าย จิตใจก็สงบเงียบ หากจิตใจไม่ร่ำร้องเรียกหาอยากได้โน่นอยากได้นี่ จิตก็จะสงบ เมื่อสงบแล้ว โอกาสที่จะมีสมาธิและปัญญาก็จะตามมา ปัญญา ทำให้ใจสว่าง ปัญญาเป็นปัจจัยสำคัญมากการบรรลุนิพพาน เพราะปัญญาทำให้เห็นความจริง เห็นสัจธรรมว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปัญญารู้แจ้งในพระไตรลักษณ์สำคัญมากและมีอยู่ 3 ลักษณะคือ 1.ปัญญาเกิดจากการฟัง 2.ปัญญาเกิดจากการคิดไตร่ตรอง 3.ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ เช่น เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่าเศษแก้วมันคม เราก็กำเอาไว้เพราะคิดว่าเป็นเพชรเป็นพลอย แต่เมื่อเห็นความจริงว่าเป็นเพียงเศษแก้วไร้ค่า แถมยังทำให้เราเจ็บปวดเพราะบาดมือ เราก็ปล่อยทันที ปล่อยเพราะเราเห็นแต่โทษ เห็นว่ามันทำให้เจ็บปวด เรียกว่าเกิดปัญญาเห็นความจริง ส่วนหนึ่งจากหนังสือ นิพพาน…ที่นี่…เดี๋ยวนี้
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทางไปนิพพานทางสู่นิพพานมีกี่สายคะ - Pantip https://pantip.com/topic/31350366 ไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิตมา มีวิทยากรท่านหนึ่งบอก คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทางสู่ินิพพานมีแต่การฝึกสติปัฎฐาน 4 เพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ (เ่ช่น กสิณก็ไปได้เหม. การปฏิบัติจิตใจตนให้เข้าสู่บันไดพระนิพพาน - Luangpochom::หลวงพ่อชม www.luangpochom.com/pochom75_2.htm ... ก็จะเหยียบบันไดพระนิพพานผิดไป ไม่ถูกทางนะท่านชาย-หญิง ให้เราเดินไปตามบันได 5 ... จะได้รู้ทางศาสนาศีล-สมาธิ-ปัญญา มรรค-ผล-นิพพานกันบ้าง ก็เพราะผู้ปฏิบัติจิตใจตน ... วิธีการเข้าถึงพระนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี 4 แบบ - Nation TV oknation.nationtv.tv/blog/opapatika/2009/01/03/entry-1 3 ม.ค. 2552 - ทำอย่างไรเราจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้. พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนทุกคนมีความดี ที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ทุกคน และยังตรัสอีกว่า “การที่จะไปนิพพานได้ ไปได้หมด ... วิธีเตรียมความพร้อมก่อนไปนิพพาน - ตายแล้วไปไหน ตายแล้วไปไหน.dmc.tv › บทความ Articles › ตายแล้วไปไหน Life After Death › นิพพาน 24 มิ.ย. 2554 - การเตรียมตัวไปนิพพานแม้จะไม่เหมือนกับการเตรียมเดินทางในโลกนี้ ก็ตาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน คือ ต้องมีการศึกษาตามลำดับ จากท่านผู้รู้ทั้งหลายในอดีต. ทางนิพพาน https://www.silpathai.net/ทางนิพพาน/ 23 พ.ย. 2558 - เมื่อทราบทางมนุษย์ ทางสุคติ ทางทุคติ ทางสวรรค์ ทางนรกแล้ว ก็ควรทราบทางไปนิพพานต่อไป. ทางนิพพาน บางคนมีธุลีในนัยน์ตาน้อย คือมีกิเลสบาง ... การเข้าพระนิพพานในวิธีที่ง่ายและลัดตรงที่สุด โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง | พลังจิต https://palungjit.org › ... › พุทธศาสนา และ ธรรมะ › หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ 11 ก.ค. 2553 - ไม่สงสัย เชื่อมั่น และเคารพ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด (สุดจิตสุดใจ) ตลอดชีวิต ... ซึ่งความเชื่อนี้ รวมไปถึงพระธรรมคำสอนในข้อที่ว่า... นิพพานัง ปรมัง สุขัง. หนทางสู่นิพพาน - ปร มั ต ถ สัจจะ www.paramatthasacca.com/book-chapter-11 หลวงพ่อเทียนอธิบายความหมายของนิพพานว่า คือ การหยุดไปตามกระแสของกิเลส, ... เพราะมันไม่ใช่ทางดับทุกข์ แต่คนส่วนมากก็ยังยึดมั่นกับสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปกับการทำบุญ ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
ทำตนให้พ้นทุกข์ สบาย เรามานั่งดูกระแสของจิตกันดีกว่าทำตนให้พ้นทุกข์ สบาย เรามานั่งดูกระแสของจิตกันดีกว่า
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
สัจจะอันประเสริฐยิ่งดูกรภิกษุ เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน อาศัยน้ำมันและไส้จึงโพลงอยู่ได้เพราะสิ้นน้ำมันและไส้นั้น และไม่เติมน้ำมัน และไส้อื่น ย่อมเป็น ประทีปหมดเชื้อ ดับไป ฉันใด ดูกรภิกษุ ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลนั้นเมื่อ เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้สึกว่ากำลังเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด และรู้สึกว่า เบื้องหน้าแต่สิ้นชีวิต เพราะตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดที่ยินดี กันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ เพราะเหตุนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ก็ปัญญานี้ คือความรู้ในความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นปัญญาอันประเสริฐยิ่ง ความหลุดพ้นของเขานั้น จัดว่าตั้งอยู่ในสัจจะ เป็นคุณไม่กำเริบ ดูกรภิกษุ เพราะสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดา นั้นเท็จ สิ่ง ที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา ได้แก่นิพพาน นั้นจริง ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ ก็สัจจะนี้ คือนิพพาน มีความไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา เป็นสัจจะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่ง บุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงเป็นอันพรั่งพร้อม สมาทานอุปธิเข้าไว้ อุปธิเหล่านั้นเป็นอันเขาละได้แล้วถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยการสละ อย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ก็จาคะนี้ คือความสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่ง บุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมีอภิชฌา ฉันทะ ราคะกล้า อาฆาต พยาบาทความคิดประทุษร้าย อวิชชา ความหลงพร้อม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้นๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วย ความสงบอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปสมะอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ ก็อุปสมะนี้ คือความเข้าไปสงบราคะ โทสะ โมหะ เป็นอุปสมะอันประเสริฐอย่างยิ่ง ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่าไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่านั้น นั่น เราอาศัยเนื้อความนี้กล่าวแล้ว ฯ [๖๙๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมมเป็นไปก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตน และกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ ความสำคัญตนมีอยู่ดังนี้ว่า เราเป็น เราไม่เป็น เราจักเป็น เราจักไม่เป็น เราจักต้องเป็น สัตว์มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีรูป เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา เราจักต้องเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ดูกรภิกษุ ความสำคัญตนจัดเป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ก็ท่านเรียกบุคคลว่า เป็นมุนี ผู้สงบแล้ว เพราะล่วงความสำคัญตนได้ทั้งหมดเทียว และมุนีผู้สงบแล้วแล ย่อมไม่เกิดไม่แก่ ไม่ตาย ไม่กำเริบ ไม่ทะเยอทะยาน แม้มุนีนั้นก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อไม่เกิด จักแก่ได้อย่างไร เมื่อไม่แก่ จักตายได้อย่างไร เมื่อไม่ตายจักกำเริบได้อย่างไร เมื่อไม่กำเริบ จักทะเยอทะยานได้อย่างไร ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า คนเรามีธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อันเป็นธรรมที่ผู้ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่อง สำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม เป็นไป ก็เมื่อกิเลสเครื่องสำคัญตนและกิเลสเครื่องหมักหมม ไม่เป็นไปอยู่ บัณฑิตจะเรียกเขาว่า มุนีผู้สงบแล้ว นั่นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ดูกรภิกษุ ท่านจงทรงจำธาตุวิภังค์ ๖ โดยย่อนี้ ของเราไว้เถิด ฯ [๖๙๔] ลำดับนั้นแล ท่านปุกกุสาติทราบแน่นอนว่าพระศาสดา พระสุคต พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ จึงลุกจากอาสนะทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษล่วงเกินได้ต้องข้าพระองค์เข้า แล้ว ผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งข้าพระองค์ได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกพระผู้มีพระภาคด้วยวาทะว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ขอพระผู้มีพระภาคจงรับอดโทษล่วงเกินแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะสำรวมต่อไปเถิด ฯ [๖๙๕] พ. ดูกรภิกษุ เอาเถอะ โทษล่วงเกินได้ต้องเธอผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาดซึ่งเธอได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกเราด้วยวาทะว่า ดูกรท่านผู้มีอายุแต่เพราะเธอเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม เราขอรับอดโทษนั้นแก่เธอ ดูกรภิกษุ ก็ข้อที่บุคคลเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษแล้วกระทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไปได้ นั่นเป็นความเจริญในอริยวินัย ฯ ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด ฯ
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
Best of Buddha Luxury Bar 2018ทุกข์ภัยเหล่านั้นทั้งหมดย่อมมีความเกิดเป็นมูลฐาน ความสุขอันใดที่โลกหยิบยื่นให้ นอกจากจะเล็กน้อยแล้ว ยังเจืออยู่ด้วยทุกข์ มีทุกข์แอบแฝงซ่อนเร้นเข้ามา เหมือนเหยื่อที่พรานเบ็ดเกี่ยวเอาไว้เพื่อความพินาศ วอดวายของปลารูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัส อันยั่วยวนใจนั่นแหละ พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า “โลกามิส - เหยื่อของโลก” ผู้ไม่กำหนดรู้โทษของเหยื่อเหล่านี้ เข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างตะกละตะกลามลุ่มหลงผูกพันย่อมถูกเบ็ด คือ ความทุกข์เกี่ยวเอาจนไม่อาจดิ้นให้หลุด เพื่ออิสรภาพของตนได้ ต่อแต่นั้นก็หยั่งลงสู่ทุกข์ (ทุกฺโขติณฺณา) มีทุกข์ดักอยู่เบื้องหน้า (ทุกฺขปเรตา) คร่ำครวญอยู่ว่าทำอย่างไรหนอเราจักพ้นทุกข์นี้ได้ ผู้สละโลก คือท่านผู้สละเหยื่อของโลก ไม่ติดเหยื่อของโลกเป็นผู้อันโลกจะครอบงำย่ำยีมิได้ ย่อมเที่ยวไปในโลกได้อย่างเสรี เหมือนเนื้อที่ไม่ติดบ่วงของพรานไพร แม้บางคราวจะเกี่ยวข้องอยู่ด้วยบ่วง นอนทับกองบ่วงอยู่ แต่บ่วงก็หาทำอันตรายแต่ประการใดไม่ ดังพระพุทธวจนะอันลึกซึ้งจับใจที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ! เนื้อป่าที่ติดบ่วงแล้ว นอนทับบ่วงอยู่ย่อมถึงความเสื่อมความพินาศ หนีไปไม่ได้ตามปรารถนา ถูกพรานเนื้อกระทำเอาได้ ตามต้องการฉันใด สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ที่ยังใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน เข้าไปเกี่ยวข้อง กับกามคุณ ๕ โดยไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเครื่องสลัดตนออก สมณพราหมณ์พวกนั้นย่อมถึงความเสื่อม ความพินาศ ถูกมารใจบาปกระทำเอาได้ตามต้องการฉันนั้น ส่วนสมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลงไม่ติดพัน เข้าไปเกี่ยวข้องกับกามคุณ ๕ โดยเห็นโทษมีปัญญาเครื่องสลัดตนออก สมณพราหมณ์พวกนั้นย่อมไม่ถึงความเสื่อม ความพินาศ ไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำเอาได้ตามต้องการ เหมือนเนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง แม้จะนอนทับกองบ่วงอยู่ ก็ย่อมไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ เมื่อพรานเดินเข้ามาก็หนีไปได้ตามปรารถนา ไม่ถูกพรานทำเอาได้ตามต้องการ” (ปาสราสิสูตร ๑๒/๓๒๘) พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์โลกผูกพันอยู่ในความหลง ตกอยู่ในความมืด มีน้อยคนที่จะเห็นแจ้งตามเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงมีน้อยคนที่ไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดข่ายของนายพรานแล้ว น้อยตัวที่จะพ้นไปได้” โลกียมหาชนนั่นเอง ตกอยู่ในความมืด เป็นผู้บอดเพราะไม่มีปัญญาจักษุ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นผู้ใจบอด ไม่อาจมองเห็นสัจจะแห่งโลกได้ เขามีแต่ตาเนื้อ สำหรับเห็นรูปต่างๆ อันยั่วยวนให้หลงใหล หรือให้หลงรัก หลงชัง แล้วดิ่งลงไปในนรก คนไปสวรรค์เหมือนเขาโค ส่วนคนไปนรกเหมือนขนโค คนทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครพ้นได้ ความตายของปุถุชนมีคติไม่แน่นอน บางชาติตกนรก บางชาติไปสวรรค์ บางชาติเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน บางชาติเป็นเปรต เป็นอสูรกาย สุดแล้วแต่กรรม น่าหวาดเสียว น่ากลัว ความทุกข์ในกำเนิดดิรัจฉาน เช่นสุนัข เป็นต้น ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร ! แม้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็น่าหวาดเสียวอยู่นั่นเอง เพราะมนุษย์มีหลายประเภท หลายสภาพ บางคนพิกลพิการ อดอยาก เจ็บกายเจ็บใจ อยู่ตลอดชีวิต แม้คนที่มั่งมีและมีอวัยวะสมบูรณ์ ก็ยังถูกกิเลสเผาให้เร่าร้อนอยู่เป็นประจำ ความต้องการออกจากโลกเป็นโลกุตตรชนนั้น เป็นทรรศนะและอุดมคติของนักปราชญ์ ทั้งนี้เพราะได้มองเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า โลกนี้ไม่มีอะไรควรยึดมั่น สิ่งใดที่บุคคลเข้าไปยึดมั่น สิ่งนั้นก่อให้เกิดทุกข์เสียทุกครั้งไป ความสุขก็เล็กน้อย ไม่พอกับความทุกข์ที่กระหน่ำอยู่ทุกเวลามิได้เว้น โลกนี้มีความทรุดโทรม แวดล้อมอยู่ด้วยทุกข์รอบด้าน มีปัญหามาก พร่องอยู่เป็นนิตย์ มีความขัดข้องที่จะต้องแก้ไขอยู่เสมอ ข้าพเจ้าเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นกัลยาณมิตร ของท่านผู้ต้องการสละโลก (แม้จะยังสละไม่ได้ก็ตาม) และแม้ท่านผู้ยังต้องการอยู่ในโลก อย่างไม่เป็นทาสของโลกหรืออยู่อย่างมีทุกข์น้อยที่สุด หนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นเพื่อนที่ดีของท่านได้อยู่นั่นเอง #บุญกุศลใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าในการเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยกำลังกายกำลังใจและกำลังศรัทธา #ขอบุญกุศลนั้นพึงเป็นเพื่อนใจหยั่งลงเป็นอุปนิสัยบารมีคอยกระตุ้นเตือนชักนำให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีปกติเห็นโทษและเห็นภัยในโลก #ไม่ติดโลกไม่ติดในภพมีปัญญาในการสลัดตนออกมีจิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมดำรงตนอยู่อย่างอิสระได้รับความสงบเย็นเต็มที่ในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศดีแล้วด้วยเถิด
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอน ให้เรา เรียนจนรู้ความจริงว่าความทุกข์มันเกิดได้อย่างไร ทำ...
- รับลิงก์
- X
- อีเมล
- แอปอื่นๆ