บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กุมภาพันธ์, 2019

ต๋อย ไตรภพ l ชำแหละสื่อขายบันเทิง! ประเทศนี้จะร้องเพลงอย่างเดียวหรือ! [HD]

รูปภาพ
ชำแหละสื่อขายบันเทิง! ประเทศนี้จะร้องเพลงอย่างเดียวหรือ! - ...วันๆ ประเทศนี้จะร้องเพลงอย่างเดียวเหรอ เด็กในประเทศนี้ร้องเพลงเก่งนะ เต้นรำเก่ง วันๆ ในทีวีเด็กเก่งเรื่องนี้เรื่องเดียวเลยนะ นี่เป็นที่ชื่นชม ชื่นชอบกันอย่างยิ่ง จะเป็นไปได้กี่ปี ไม่มีอนาคตหรอก มันไม่ใช่วิธีการ -...มกำลังถามว่าเด็ก 100 คนเกิดมาเพื่อร้องเพลง เกิดมาเป็นนักแสดง เป็นศิลปินกันกี่คน ทำไมเราชื่นชอบ-ชมแต่เรืองแบบนี้ ทำไมทีวีเรามีแต่เรื่องแบบนี้ และที่บอกทีวีนั่นนี่เกิดมันจะหวือหวาไปได้กี่วัน คุณคิดว่า ความหวือหวา จะทำแบบนั้นได้สักกี่ปี 10 ปี 15 ปี ทีวีที่หวือหวาตลอดเวลาไหนที่เรียกว่าคุณค่า... แม้จะเป็นคำสัมภาษณ์สักระยะใหญ่ แต่เมื่อลองย้อนกลับมาดูมันยังทันสมัย ผมคิดว่ายังเป็นประโยชน์ เป็นบทสัมภาษณ์เอ็กคลูซีฟในห้องแต่งตัว ดิบๆ ง่ายๆ เหมือนชีวิตเขา ผมกับชายวัย 62 ปี 'ไตรภพ ลิมปพัทธ์' ถึงเรื่องทีวี ที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ไหน แบบอันเซนเซอร์ เป็นวิธีคิดของคนทำงานมาเกือบ 40 ปี ผมให้ฟันธงว่า โลกอนาคตหลังจากพรุ่งนี้ อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ เขาฟันธงว่า influence เป็นคนที่มีความหมายและความสำคัญมากในโลกยุคใหม่ โ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เทศนา พรหมวิหาร 4 เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ...

รูปภาพ
ดวงปฐมมรรค เป็นธรรมอันหนัก ที่สุด เพราะว่า เป็นธรรมที่เปลี่ยนระหว่าง ปถุชชน เป็น อริยะชน การเปลี่ยนเป็น อริยะชน อย่างทันทีนั้น ก็เหมือนกับ การเปิดดวงตาให้เห็น ในความมืด #อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น #จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติพอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะไม่ได้เจตนาระลึกมันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิตเพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิตปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไรจะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเองถัดจากนั้นนะจิตจะรู้เลยมันไม่มีสาระอะไร จิตมันจืดนะ มันไม่เอาอีกแล้วก็แค่เห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้น พอเห็นความปรุงภายในจิตผุดขึ้นสองสามขณะความเห็นกลางอย่างแท้จริงเลย

ธรรมคีตะ ศิลปะแห่งการดับทุกข์จะสุขใจไปบ้างก็บางคราว จะโศกเศร้าไปบ้างก็บางหน จะเกลียดชังไปบ้างก็บางคน จะสับสนไปบ้างก็บางที นี้ละคนวนไปมาหาดีชั่ว วนไปทั่วสับสนจนป่นปี้ ประเดี๋ยวรักประเดี๋ยวชังอยู่ทั้งปี เป็นอย่างนี้ทุกคนไปจนตาย

รูปภาพ

ทางพ้นทุกข์#ถ้าเราสามารถเรียนรู้ลงเข้ามาที่กายรู้ลงเข้ามาที่ใจนี่วิธีการของพระพุทธเจ้าเรียนรู้ลงเข้ามาที่กายที่ใจตัวเองจนเห็นความจริงเลย #กายนี้ไม่ใช่ตัวเรากายนี้เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุความดิ้นรนหวงแหนในร่ายกายก็จะสลายไป #เรียนรู้ลงไปที่จิตใจจะเห็นเลยจิตใจเป็นของไม่เที่ยงเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายสุขชั่วคราวทุกข์ชั่วคราวดีชั่วคราวชั่วก็ชั่วคราว #ทุกอย่าที่ผ่านเข้ามาที่จิตที่ใจเราล้วนแต่เป็นของชั่วคราวทั้งนั้นกระทั่งตัวจิตตัวใจเองก็ของชั่วคราวจิตเกิดทางตาเดี๋ยวก็ดับไป เกิดทางหูเดี๋ยวก็ดับไปเกิดทางใจแล้วก็ดับไปมีแต่ของชั่วคราวทั้งหมดพอเห็นอย่างนี้เห็นความจริงแล้วจิตนี้ไม่ใช่ตัวเราที่เที่ยงแท้ถาวรอะไรความดิ้นรนที่จะให้จิตมีความสุขความดิ้นรนที่จะให้จิตพ้นทุกข์มันก็จะสลายไปความพ้นทุกข์ที่แท้จริงเกิดจิตใจที่ฉลาดรู้ความจริงของกายของใจจนหมดความดิ้นรน นิพพาน (บาลี: निब्बान nibbāna นิพฺพาน; สันสกฤต: निर्वाण nirvāṇa นิรฺวาณ) หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์[1] เป็นสภาพโลกุตระอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในศาสนาพุทธ[2] คำว่า นิพพาน เป็นคำที่ใช้กันในปรัชญาหลายระบบในอินเดีย โดยใช้ในความหมายของการหลุดพ้น แต่การอธิบายเกี่ยวกับสภาวะของนิพพานนั้นแตกต่างกันออกไป ในปรัชญาอุปนิษัทเชื่อว่านิพพานหรือโมกษะ คือการที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมันเข้ารวมเป็นเอกภาพกับพรหมัน แต่ในพระพุทธศาสนาอธิบายว่า นิพพานคือการหลุดพ้นจากอวิชชา ตัณหา ซึ่งแสดงออกในรูปของโลภะ โทสะ และโมหะ มิได้หมายความว่าเป็นการหลุดพ้นของอัตตาหรือตัวตนในโลกนี้ ไปสู่สภาวะของนิพพานอย่างคำสอนอุปนิษัท แต่หมายถึงความดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องผูกพันร้อยรัดทั้งปวง ซึ่งเรียกว่าเป็นความทุกข์

รูปภาพ

คุยกับ ลามะเนปาล หลังนั่งสมาธิอดข้าวนาน6ปี เผยตั้งใจเป็นพระพระพุทธเจ้า

รูปภาพ
ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน? ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ เสร็จแล้วมันจะทวนกระแส

เกสริยา - สถานที่ประดิษฐานบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - Kesariya stupa

รูปภาพ
ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน? ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ เสร็จแล้วมันจะทวนกระแส

เกสริยา - สถานที่ประดิษฐานบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า - Kesariya stupa

รูปภาพ
ถ้าเราสัมผัสพระนิพพานแล้ว เราจะรู้เลยว่าโลกนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ โลกนี้เหมือนฝัน ความสุขเหมือนกับฝันอยู่เท่านั้นแหละ ไม่ใช่มีของจริงอะไรให้เราดูเลย ความสุขของพระนิพพานนั้นเหมือนกับของจริง มันเหมือนว่าเรากลับบ้านเราได้แล้ว เราเป็นเด็กหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอ วันนี้เรากลับถึงบ้านได้แล้ว มันมีความสุขนะ เจอพ่อเจอแม่ของเรา คือเจอพระพุทธเจ้า จิตของเรานั้นแหละ กับพระพุทธเจ้า จะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน จิตของเรากับพระธรรมจะหลอมรวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตนั้นแหละก็คือตัวพระสงฆ์ พระรัตนตรัยรวมเข้าเป็นหนึ่งที่จิตนั้นเอง ที่จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาด จะมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน? ตรงที่จิตถึงสัจจานุโลมิกญาณหรืออนุโลมญาณ ใจคล้อยตามความจริง(ไตรลักษณ์)แล้ว ตรงนี้มีสามขณะถ้าเต็มรูป มีบริกรรม อุปจาร อนุโลม อนุโลมตัวสุดท้ายเป็นตัวตัด ตัดกระแสการรู้อารมณ์รูปนาม ฉะนั้นเวลาที่จิตรวมเข้าไป จิตเป็นกลางๆไปถึงขีดสุดแล้ว ปัญญาพอแล้ว มันเข้าอัปปนาสมาธิแล้วจะเห็นสภาวะเกิดดับ สองขณะบ้าง สามขณะบ้าง ขณะที่สองหรือขณะที่สามเป็นตัวสุดท้ายนี่มันจะตัด ตัดการรู้รูปนาม ตัดอารมณ์ของฝ่ายโลกียะ เสร็จแล้วมันจะทวนกระแส

Royal Thai Army March (มาร์ชกองทัพบก)#พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เนี่ย ท่านบอกว่า#มีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อยแต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเรา เมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

รูปภาพ

Royal Thai Army March (มาร์ชกองทัพบก)#พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เนี่ย ท่านบอกว่า#มีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อยแต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเรา เมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

รูปภาพ

เราไม่ประมาทในความตาย#พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เนี่ย ท่านบอกว่า#มีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อยแต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเรา เมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

รูปภาพ

เราไม่ประมาทในความตาย#พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เนี่ย ท่านบอกว่า#มีสมาธิเล็กน้อยมีปัญญาเล็กน้อยแต่ว่ามีศีลบริสุทธิ์ นี่ถ้าหากว่าเราไม่ประมาทในความตาย คนที่ไม่ประมาทในความตายไม่มีอะไรดูง่าย ๆ ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์ หมั่นให้ทานไว้ หมั่นรักษาศีลไว้ หมั่นคำนึงนึกถึงว่า เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อันนี้ดีตัวนี้ก็คือ “ดีไม่ต้องการเกิด” ถ้าเราไม่เกิด แก่ไม่มี เจ็บไม่มี ป่วยไม่มี ตายไม่มี พลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่มี ใช่ไหม ? ไอ้ตัวที่จะไม่เกิดก็คือ อารมณ์นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ว่า “ตายคราวนี้ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ไม่ไปไหน ไม่ว่าเขาจะถามว่า แกจะไปได้ไม่ได้ ก็บอกว่าได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ข้าจะไป ใช่ไหม ? มึงจะไปหรือไม่ไปก็ช่างมึง แต่กูจะไป ก็หมดเรื่อง มันเรื่องของกูไม่ใช่เรื่องของมึงใช่ไหม ? คราวนี้จะไปได้ไหมล่ะ ? ถ้าจิตเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถ้าอารมณ์เรารักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้ไม่มีสำหรับเราอีก การเป็นเทวดาหรือพรหมก็ไม่มีสำหรับเรา เมื่อละจากอัตภาพนี้แล้วเราต้องการจุดเดียวคือ พระนิพพาน แล้วเราก็มานั่งนึกหาความจริงว่าไอ้คนที่เค้าจะตายนี่ เค้าไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเค้าเอาอะไรไปหึลูก ? เอาตัวไปหรือเปล่า ? ไอ้ที่ไปเนี่ยคือ “ใจ” ใช่ไหม ? ใช่ ตอนนี้ถ้าใจของเราเวลานี้น่ะ เรายึดหัวหาด คืออารมณ์ของพระโสดาบันไว้ได้ ตัดอบายภูมิหมด แล้วอารมณ์อีกจุดหนึ่ง มันตั้งตรงพระนิพพานไง จิตมันตั้งไว้แล้วว่าจะไปนิพพาน นี้ก็รู้แล้วว่าเวลาไปจริง ๆ นั้นจิตมันไป นี้เวลาตายจริง ๆ มันก็ไปนิพพานเลย ไม่ยาก ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จได้ด้วยใจ” ใช่ไหม ? ในเมื่อใจมันตั้งไว้เพื่อพระนิพพาน ตายแล้วมันจะไปไหน ? ก็ไปพระนิพพาน มีเยอะแยะไปที่เค้าทำกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าการปฏิบัติตัวมันจะต้องเป็นพระอรหันต์วันนี้ จงอย่าลืมว่าอารมณ์ที่ตั้งไว้เพื่อพระนิพพานนี่แหล่ะมันเป็น “อารมณ์พระอรหันต์” นี้อารมณ์ของพระโสดาบันเนี่ยเราก็ “ยันนรก” ไว้ต่างหาก แต่ว่ายามปกติเนี่ยเราคิดไว้เสมอว่า ร่างกายนี้นะมันเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการ เมื่อเราไม่ต้องการร่างกายของเรา แล้วร่างกายเราก็ไม่มี ในเมื่อร่างกายเราไม่มีมันมีผัวมีเมียได้ไหม? นี่ตัวตัดจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้นะเบา ๆ ไม่ยาก ใช่ไหม ? .. (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

รูปภาพ

จิตเคลื่อนแล้วรู้ทัน การปฏิบัติสบาย :: หลวงพ่อปราโมทย์ 1 ม.ค. 2562 (ไฟล์...

รูปภาพ
ถ้าเรามีสติว่องไว จิตเคลื่อนแล้วรู้ อันนี้ไวที่สุด เคลื่อนไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้ทันปุ๊บ การปฏิบัติเสร็จแล้ว จะเห็นเลย จิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง จิตที่เคลื่อนก็ไม่เที่ยง จิตผู้รู้ก็รักษาไม่ได้ จิตที่เคลื่อนก็ห้ามไม่ได้ เดินปัญญาแล้ว หรือเคลื่อนแล้วรู้ ๆ จิตก็หยุดการเคลื่อน ได้สมาธิ ได้ปัญญา จิตเคลื่อนแล้วไม่เห็น เกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา ก็รู้ทันไป ตรงนี้ก็รู้ได้ ถ้ารู้ตรงนี้ เรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าสุขทุกข์ไม่เห็น กิเลสจะแทรก ราคะ โทสะ โมหะจะแทรกเข้ามา ถ้ารู้ตรงนี้ เรียกว่า เจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้ากิเลสแทรกแล้ว ใจเกิดความอยากขึ้นมาแล้ว สายไปแล้ว ยังไงก็ต้องทุกข์แล้ว ช่วยไม่ทันแล้ว ต้องทุกข์แล้ว แต่ถ้าเวทนาเกิด แล้วรู้ทันปุ๊บ ดับเลย ปฏิจจสมุปบาท ขาดแล้ว เคยได้ยินไหม ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ผัสสะ คือการกระทบอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเรามีสติตั้งแต่ผัสสะ กระบวนการของปฎิจจสมุปบาทก็จบลงตรงนั้นเลย ถ้าตรงผัสสะ เราดูไม่ทัน มันเกิดเวทนาขึ้นมา โดยเฉพาะเวทนาทางใจ เรามีสติรู้ทันตรงนี้ เวทนาก็ดับ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ตรงเวทนา กิเลสมันจะ

videoplayback

รูปภาพ

เจริญปัญญาจนถึงขั้นพระอนาคามีโดยหลวงพ่อปราโมทย์พระพุทธเจ้าท่านเทียบเหมือนคนทำนา บอกว่าชาวนานไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวมันออกรวงของมันเอง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือไถนา ไถอยู่ที่ดินไม่ได้ไปไถต้นข้าว หว่านเมล็ดข้าวลงไปในนา แล้วก็เอาน้ำเข้านา ช่วงไหนน้ำน้อยก็เติมน้ำ ช่วงไหนน้ำมากก็ไขน้ำออก ถึงเวลาแล้วข้าวก็ออกรวง ข้าวออกเมล็ด ข้าวก็ออกของมันเอง ชาวนาไม่ได้ออกเมล็ดข้าวมา จิตนี้ก็เหมือนกันนะ เราเจริญไตรสิกขา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญอย่างนี้แหละ ถึงวันที่เขาพอเพียงแล้ว อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเรานะ ค่อยฝึกไป คอยรู้กายคอยรู้ใจนะ ถือศีล ๕ ไว้เป็นเบื้องต้น วันไหนจิตใจฟุ้งซ่านมากก็ทำความสงบเข้ามา ให้จิตใจได้พักผ่อนบ้าง พอจิตใจสงบแล้วและพักผ่อนพอสมควรแล้วก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ให้เจริญปัญญาด้วยการมีสติรู้กายอย่างที่กายเขาเป็น มีสติรู้จิตอย่างที่จิตเขาเป็น ไม่เข้าไปแทรกแซงเขา เวลารู้ ให้รู้อยู่ห่างๆ อย่าถลำลงไปรู้ อย่ากระโจนลงไปรู้ รู้อยู่ห่างๆเหมือนดูคนอื่น ดูกายนี้เหมือนดูกายคนอื่น ดูเวทนานี้เหมือนดูเวทนาคนอื่น ดูจิตนี้เหมือนดูจิตคนอื่นไป ดูเหมือนดูคนอื่นเรื่อยๆ ทั้งกายทั้งเวทนาทั้งจิตนี้เป็นแต่สภาวธรรมซึ่งถูกรู้ถูกดู สิ่งใดถูกรู้สิ่งใดถูกดูสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นของอยู่นอกๆนะไม่ใช่ตัวเราหรอก ให้เฝ้ารู้เฝ้าดูไป กระทั่งต่อมาเราจะเห็นว่า แม้กระทั่งผู้รู้ผู้ดูเองก็เกิดๆดับๆ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง ใช่มั้ย เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ผู้รู้เองก็เกิดดับๆเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆไม่มีอะไรคงที่สักอันเดียวเลย เนี่ยดูอย่างนี้เรื่อยๆไปนะ วันหนึ่งลูกไก่ก็จะหลุดออกมาจากเปลือกได้ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า

รูปภาพ

ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๙ ก.พ. ๒๕๕๕ (ไฟล์ 550219 ...

รูปภาพ
เดือนนี้เดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อมานึกได้ ตอนนั่งรถมา หลวงพ่อไปกราบหลวงปู่ดุลย์ครั้งแรก ๖ กุมภาพันธ์ปี ๒๕๒๕ - ๓๐ ปีพอดี นึกถึงหลวงปู่ แล้วเหมือนหลวงปู่มาอยู่ด้วย วันนี้จะเทศน์ธรรมะของหลวงปู่ให้ฟัง หลวงปู่ดูลย์นั้น เป็นครูบาอาจารย์ที่อัศจรรย์มาก ท่านสร้างบารมีมาทางจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น บารมีมากกว่าคนที่มุ่งเป็นสาวกปกติ แต่เพราะว่ามุ่งไปทางพระปัจเจก ท่านเลยมีข้อจำกัดในการเทศน์ ท่านสอน - พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ คำสอนของท่านจะสั้น ๆ ประโยคหนึ่ง สองประโยค ให้ท่านมาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ท่านไม่ทำ เวลาเจอท่าน ท่านไม่ค่อยพูดอะไร นาน ๆ พูดคำเดียว พูดประโยคหนึ่ง แต่สิ่งที่ท่านสอนนั้น อัศจรรย์มาก คนไหนทำตามที่ท่านสอน ก็จะเจริญอย่างรวดเร็ว เวลาท่านสอน ท่านจะสอนเฉพาะตัว อย่างเราเข้าไปกราบ เราไปขอกรรมฐาน ท่านไม่สอน ท่านจะนั่งเงียบไปเลย ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง พอท่านออกจากสมาธิ ท่านก็จะสอนให้ ประโยค สองประโยคเท่านั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปถามว่า หลวงปู่ดูลย์สอนอะไร ไปถามลูกศิษย์ทีละคน ตอบไม่เหมือนกัน ตรงที่ท่านสอนมาไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรวบรวมเอาไว้ได้หมดด้ว

ธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล :: หลวงพ่อปราโมทย์ ๑๙ ก.พ. ๒๕๕๕ (ไฟล์ 550219 ...

รูปภาพ
เดือนนี้เดือนกุมภาพันธ์ หลวงพ่อมานึกได้ ตอนนั่งรถมา หลวงพ่อไปกราบหลวงปู่ดุลย์ครั้งแรก ๖ กุมภาพันธ์ปี ๒๕๒๕ - ๓๐ ปีพอดี นึกถึงหลวงปู่ แล้วเหมือนหลวงปู่มาอยู่ด้วย วันนี้จะเทศน์ธรรมะของหลวงปู่ให้ฟัง หลวงปู่ดูลย์นั้น เป็นครูบาอาจารย์ที่อัศจรรย์มาก ท่านสร้างบารมีมาทางจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น บารมีมากกว่าคนที่มุ่งเป็นสาวกปกติ แต่เพราะว่ามุ่งไปทางพระปัจเจก ท่านเลยมีข้อจำกัดในการเทศน์ ท่านสอน - พูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ คำสอนของท่านจะสั้น ๆ ประโยคหนึ่ง สองประโยค ให้ท่านมาขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ท่านไม่ทำ เวลาเจอท่าน ท่านไม่ค่อยพูดอะไร นาน ๆ พูดคำเดียว พูดประโยคหนึ่ง แต่สิ่งที่ท่านสอนนั้น อัศจรรย์มาก คนไหนทำตามที่ท่านสอน ก็จะเจริญอย่างรวดเร็ว เวลาท่านสอน ท่านจะสอนเฉพาะตัว อย่างเราเข้าไปกราบ เราไปขอกรรมฐาน ท่านไม่สอน ท่านจะนั่งเงียบไปเลย ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมง พอท่านออกจากสมาธิ ท่านก็จะสอนให้ ประโยค สองประโยคเท่านั้น แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะไปถามว่า หลวงปู่ดูลย์สอนอะไร ไปถามลูกศิษย์ทีละคน ตอบไม่เหมือนกัน ตรงที่ท่านสอนมาไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรวบรวมเอาไว้ได้หมดด้ว

ข้ามทะเลทุกข์#จิตยอมรับความจริงตรงนี้ได้จิตก็หมดแรงดิ้นนะจะดิ้นไปทำไมล่ะดิ้นหาดีหาสุขหาสงบดิ้นยังไงก็ไม่มีมีก็มีชั่วคราวเดี๋ยวก็หายไปอีกนี่จิตจะหยุดแรงดิ้นหมดแรงดิ้นจิตที่หมดแรงดิ้นเพราะว่าดิ้นมาสุดขีดแล้วนะสติก็สุดขีดแล้ว #สมาธิก็สุดขีดแล้วปัญญาก็สุดขีดแล้วสติสุดขีดก็คือไม่เจตนาจะรู้ก็รู้..รู้..รู้ทั้งวันเลย รู้ทั้งคืนด้วย #สมาธิก็จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานรู้อยู่อย่างนี้ไม่เป็นผู้หลงนะอย่างมากก็หลงแว๊บๆก็กลับมาเป็นผู้รู้อย่างรวดเร็วจะทำสมาธิให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงจะทำสติให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงจะเจริญปัญญาให้มากกว่านี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงนะมันจนมุมไปหมดเลยคือสติก็ทำมาจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วสมาธิก็ทำจนไม่รู้จะทำยังไงปัญญาก็ไม่รู้จะพลิกแพลงไปพิจารณาอะไรอีกต่อไปแล้วเนี่ยจิตถ้าภาวนามาสุดขีดนะมันจะเข้ามาสู่ภาวะแห่งความจนมุม มันจะหยุดแรงดิ้นมันจะหมดความอยากว่าทำยังไงจะพ้นทุกข์ได้ ทำยังไงจะสุขถาวร ทำยังไงจะดีถาวร ทำยังไงจะสงบถาวร เพราะมันดิ้นมาจนสุดฤทธิ์สุดเดชแล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไง ทำไม่ได้สักที พอจิตหมดแรงดิ้นนะ จิตก็สักว่ารู้ว่าเห็น ตรงนี้แหละสักว่ารู้ว่าเห็นขึ้นมา อย่างที่พวกเราพูดว่าสักว่ารู้ว่าเห็น ไม่จริงหรอก ไม่ยอมสักว่ารู้ว่าเห็นหรอก มีแต่ว่าทำยังไงจะดีกว่านี้อีก ทำยังไงดี ทำยังไงจะดี ทำยังไงจะถูก รู้สึกไหมแต่ละวัน นักปฏิบัติตื่นนอนก็คิดวันนี้จะทำยังไงดี คิดอย่างนี้แหละนะ จนกระทั่งมันสุดสติสุดปัญญา ทำยังไงมันก็ดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว ยอมรับสภาพมัน จิตหมดแรงดิ้น จิตหมดความปรุงแต่ง หมดแรงดิ้นรน พอจิตไม่มีความปรุงแต่ง ไม่มีความดิ้นรน อยู่ตรงนี้ช่วงหนึ่งนะ พอจิตหมดแรงดิ้นก็ไม่ปรุง อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ ไม่ปรุงต่อ จิตก็เรียกว่าจิตเข้าถึงความเป็นอนุโลม อนุโลมญาณ หมายถึงว่าอะไรเกิดขึ้นก็คล้อยตามมันไป คล้อยตามนี่ไม่ใชหลงตามมันไป ก็แค่เห็นนะ เออ ก็มีขึ้นมา เออ หายไป ก็แค่นั้นเองนะ ไม่ต่อต้าน ไม่หลงตามไป ยอมรับ มันมาก็มา มันไปก็ไป นี่จิตมีอุเบกขาอย่างแท้จริงเลยนะ คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เห็นแต่ความจริง ทุกอย่างมาแล้วก็ไปมาแล้วก็ไป นี่จิตเห็นอยู่แค่นี้เอง นี่ถ้าจิต สติ สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา บุญบารมีอะไรแก่รอบแล้วนะ จิตหยุดความปรุงแต่งแล้วมันจะรวมเข้าอัปปนาสมาธิ รวมเอง ทำไมมันรวมเข้าอัปปนาสมาธิได้เอง เพราะว่าจิตไม่ไหลไปตามกาม ฌานมันจะเกิดเอง โดยธรรมชาติของจิตนี่ต้องเวียนอยู่ในภพ ภพที่จิตเวียนอยู่ได้มี ๓ ภพเท่านั้น หนึ่ง กามาวจรภพ ภพที่เวียนไปในกาม คือหาอารมณ์เพลิดเพลินไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพลินไปเรื่อย พวกเราจิตหมุนอยู่ติ้วๆ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย นึกออกไหม อันนี้แหละเรียกว่ากามภพ เรียกให้เต็มยศนะเรียก กามาวจรภูมิ ใจก็ไปเวียนอย่างนี้ ถ้าหลุดออกจากกามภพนะ ก็เข้าไป รูปภพ หรือว่า รูปภูมิ ก็คือเข้าไปสงบอยู่กับการรู้รูป เช่นรู้ลมหายใจ แล้วจิตไม่เอาแล้วโลกข้างนอก อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่เห็นจะมีสาระอะไร จิตมารวมลงที่อารมณ์ภายในอันเดียว อาจจะมารู้ลมหายใจอยู่อันเดียว รู้ร่างกายอยู่อันเดียว มาเพ่งรูปอยู่อันเดียว เพ่งดวงกสิณ ดวงนิมิตอยู่อันเดียว จิตเพ่งรูปอยู่เรียกว่ารูปภูมิ ถ้าจิตไม่อยู่ในกามภูมิ ไม่อยู่ในรูปภูมิ จิตก็ต้องเข้า อรูปภูมิ ทิ้งรูปไปแล้วไปอยู่กับนามธรรม เช่นไปอยู่กับความว่าง จิตอยู่ในความว่าง อยู่กับความไม่มีอะไรเลย เพราะงั้นที่เค้าสอนภาวนา บางคนสอนภาวนาให้ไปอยู่ในความว่าง อันนั้นเพี้ยนนะ ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า มันก็เป็นอรูปภูมิ เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่ง เป็นภพอีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง งั้นถ้าสติปัญญาเราพอนะ เรารู้เลยจิตมันแส่ส่ายออกทางตาหูจมูกลิ้นกายมีแต่ทุกข์ จิตไม่แส่ส่าย พอจิตไม่แส่ส่ายจิตก็หลุดออกจากกามภูมิ เข้ารูปภูมิหรืออรูปภูมิ เข้าเองเลย เพราะงั้นพวกเราหัดเจริญสติไปเรื่อย พอศีลสมาธิปัญญา สติสมาธิปัญญาแก่รอบนะ จิตจะหมดความหลงไหลรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะทั้งหลายมาดึงดูดจิตไหลไปไม่ได้แล้ว อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ชั่วขณะเท่านั้นแหละ ถ้าจิตมันตั้งมั่นรู้ไหลออกไปแล้วทุกข์ ก็ตั้งเด่นดวงอยู่ จิตก็เข้าฌานอัตโนมัติ เพราะงั้นถึงเราจะเจริญสติเจริญปัญญาโดยเข้าฌานไม่เป็น ถึงนาทีสุดท้ายที่จะเกิดอริยมรรคอริยผลในทุกขั้นตอน ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคจนถึงอรหัตมรรคเนี่ย จิตจะเข้าฌานของเค้าเอง ยกเว้นคนซึ่งเดินปัญญาอยู่ในฌาน เวลาที่จะเกิดอริยมรรคไม่ต้องถอยออกมาอยู่ในโลกก่อนนะ ไม่ต้องกลับมาอยู่กามภูมิก่อนนะ จิตเค้าจะตัดอยู่ข้างในได้เลย นี่เป็นพวกหนึ่ง แต่รวมความก็คืออริยมรรคไม่เกิดอยู่ในจิตที่อยู่ในกามอย่างพวกเรา อริยมรรคจะต้องเกิดอยู่ในรูปภูมิหรืออรูปภูมินะ จะเกิดอยู่ตรงนั้น ไปล้างกันตรงนั้น จิตจะเข้าฌานอัตโนมัติ พอจิตเข้าฌานแล้วคราวนี้สติระลึกรู้อยู่ที่จิตนะ ไม่ได้เจตนาระลึก มันรู้เอง เพราะมันไม่แส่ส่ายออกไปที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่แส่ส่ายไปในความคิด ก็หยุดลงที่จิตดวงเดียว สติหยั่งลงที่จิต จิตตั้งมั่นอยู่ที่จิต เพราะงั้นสมาธินี่เต็มสมบูรณ์แล้ว ตั้งมั่นอยู่ที่จิต สติสมบูรณ์แล้ว ระลึกอยู่ที่จิต ปัญญาสมบูรณ์แล้ว เห็นความเป็นจริงทุกสิ่งที่อย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิตนะ ตรงนี้แหละจิตจะไหวตัวขึ้นมาสองสามขณะ คือปรุงขึ้นมานะแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าปรุงอะไร มีความปรุงแต่งเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าปรุงอะไร จะเห็นแต่ว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป จะเห็นอย่างนี้เอง เห็นเอง

รูปภาพ

ทางสายกลาง

รูปภาพ
พระธรรมเทศนาของพระองค์ไพเราะจับใจ งามทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ประณีต น่าอัศจรรย์ ข้าพเจ้าจะขอนำมากล่าวเพียงใจความดังนี้ ตอนแรกพระองค์ตรัสบอกว่า บรรพชิต (ผู้บวชแล้ว) ควรเว้นทางสองสาย คือ สายหนึ่ง ทางชีวิตที่ดำเนินไป เพื่อความหมกมุ่นในกาม พัวพันในอารมณ์ใคร่นานาประการ ทำให้หลง ให้ติดให้ยึดมั่นสยบอยู่ ทางนี้เป็นทางต่ำเป็นไปเพื่อทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่มีประโยชน์ อีกสายหนึ่ง ทางชีวิตที่เป็นไป เพื่อเข้มงวดกวดขันกับร่างกายเกินไป เรียก“อัตตกิลมถานุโยค” เป็นไปเพื่อทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่ประเสริฐ ไม่มีประโยชน์ เมื่อทรงปฏิเสธทางสองสายว่า ไม่ควรดำเนินแล้ว ทรงแสดงทางสายกลาง คือ การปฏิบัติพอเหมาะพอควร ไม่ตึงเกินไม่หย่อนเกิน มีความเห็นชอบ มีความดำริชอบ เป็นต้น เป็นองค์ธรรม

บ้านเกิดเมืองนอนบ้านเมืองเรารุ่งเรืองพร้อมอยู่หมู่เหล่า พวกเราล้วนพงศ์เผ่าศิวิไลซ์ เพราะฉะนั้นควรจะยินดี เปรมปรีดิ์ดีใจเรียกตนว่าไทย แดนดินผืนใหญ่มิใช่ทาษเขา ก่อนนี้มีเขตแดนนับว่ากว้างใหญ่ ได้ไว้พลีเลือดเนื้อแลกเอา รบ รบ รบ ไม่หวั่นใคร มอบความเป็นไทยพวกเรา แต่ครั้งนานกาลเก่า ชาติเราเขาเรียกชาติไทย บ้านเมืองควรประเทืองไว้ดั่งแต่ก่อน แน่นอนเนื้อและเลือดพลีไป เพราะฉะนั้นเราควรเปรมปรีดิ์ มีความภูมิใจแดนดินถิ่นไทย รวบรวมไว้ได้แสนจะยากเข็ญ ยากแค้นเคยกู้แดนไว้อย่างบากบัน ก่อนนั้นเคยแตกฉานซ่านเซ็น แม้กระนั้นยังร่วมใจ รวบรวมชาวไทยให้ร่มเย็น บัดนี้ไทยดีเด่น ร่มเย็นผาสุกเรื่อยมา อยู่กินบนแผ่นดินท้องถิ่นกว้างใหญ่ ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา ทุก ๆ เช้าเราดูธงไทย ใจจงปรีดาว่าไทยอยู่มา ด้วยความผาสุกถาวรสดใส บัดนี้ไทยเจริญวิสุทธิ์ผุดผ่อง พี่น้องจงแซ่ร้องชาติไทย รักษาไว้ให้มั่นคง เทอญธงไตรรงค์ให้เด่นไกล ชาติเชื้อเรายิ่งใหญ่ ชาติไทยบ้านเกิดเมืองนอน

รูปภาพ

ทางนิพพาน

รูปภาพ
ทางนิพพาน-พุทโธอัปมาโณ www.tangnipparn.com/ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ หากข้าพระพุทธเจ้า ... วิดีโอ 7:59 ทางนิพพาน สมพงศ์ อินดัสเตรียล... YouTube  - 3 พ.ค. 2559 28:48 ทางนิพพาน Sompong Tungmepol YouTube  - 13 ส.ค. 2561 1:51 ทางนิพพาน หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย YouTube  - 12 มิ.ย. 2560 57:31 ทางนิพพาน สมพงศ์ อินดัสเตรียล... YouTube  - 6 ต.ค. 2559 1:00:53 ทางนิพพาน Sompong Tungmepol YouTube  - 8 ส.ค. 2561 7:53 ทางนิพพาน หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย YouTube  - 22 พ.ค. 2561 24:17 ทางนิพพาน หมดเกิดหมดแก่หมดเจ็บหมดตาย YouTube  - 2 พ.ค. 2559 2:28 ทางนิพพาน สมพงศ์ อินดัสเตรียล... YouTube  - 30 ก.ย. 2560 6:09 ทางนิพพาน สมพงศ์ อินดัสเตรียล... YouTube  - 24 ก.ย. 2561 27:51 ทางนิพพาน สมพงศ์ อินดัสเตรียล... YouTube  - 2 ก.ย. 2561 ผลการค้นเว็บ ทางนิพพาน www.silpathai.net/ทางนิพพาน/ 23 พ.ย. 2558 -  เมื่อทราบทางมนุษย์ ทางสุคติ ทางทุคติ ทางสวรรค์ ทางนรกแล้ว ก็ควรทราบทางไปนิพพาน ต่อไป. ทางนิพพาน  บางคนมีธุลีในนัยน์ตาน